แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การจะรับฟังว่าภารจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภารจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภารจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยกทรัพย์ เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่จดทะเบียนภารจำยอมไว้ ไม่มีผู้ใดทำถนนบนทางภารจำยอมเลยจนบัดนี้ อีกทั้งมิได้ใช้ประโยชน์จากทางภารจำยอมดังกล่าวเป็นเวลานานเกินกว่า10 ปี และทางภารจำยอมแห่งนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ในปัจจุบันอีก ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315 และ 10057
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ยังคงใช้ประโยชน์ในทางภารจำยอมดังกล่าวมาตลอด จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและภารจำยอมทางเดินไม่ถึง 10 ปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเพิกถอนภารจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ตำบลนาดี (บางปิ้ง) อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร ที่เป็นภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองและเจ้าของสามยทรัพย์คนก่อนไม่ได้ใช้ภารจำยอมนานสิบปีขึ้นไปหรือไม่ หรือภารจำยอมในทางพิพาทหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า เส้นทางภารจำยอมตามบันทึกข้อตกลงมิได้ใช้สิบปีขึ้นไปส่วนตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมดังกล่าวหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 และมาตรา 1400 แต่อย่างใด เพราะเมื่อพิเคราะห์สารบัญจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเพิ่งรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ตามโฉนดทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2526 กับวันที่ 24 กันยายน 2524 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันก่อนวันฟ้องวันที่ 13 กรกฎาคม 2532 ไม่ถึง 10 ปี และตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 5701ของโจทก์กับบันทึกข้อตกลงเรื่องภารจำยอมว่า จดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2516 เมื่อนับจนถึงวันที่จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงแล้ว ระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปี ทั้งโจทก์ก็ไม่นำสืบยืนยันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินแต่อย่างไร ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะไม่มีเส้นทางอื่นอีก จึงฟังไม่ได้ว่าไม่มีการใช้ทางภารจำยอมติดต่อกันนานถึง 10 ปี ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้เส้นทางที่สร้างขึ้นใหม่จากที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของจำเลยที่ 2 นั้น หากเป็นจริงก็เป็นเส้นทางซึ่งจำเลยที่ 2 ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยทั้งสองยังใช้ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเลิกภารจำยอม
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์