คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8920/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุคดีโจทก์ขาดอายุความ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำให้การจำเลยมิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ประเด็นเรื่องอายุความจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยเฉพาะประเด็นอื่นที่ยังมิได้ดำเนินการเท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความขึ้นอีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอายุความแล้วหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคำสั่งศาลที่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 ข้อ 2 (ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 732,102.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 633,434.52 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ก่อนสืบพยานจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า คำสั่งศาลที่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การเกี่ยวกับประเด็นเรื่องขาดอายุความนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุคดีโจทก์ขาดอายุความ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า คำให้การจำเลยมิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ประเด็นเรื่องอายุความจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ดังนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยเฉพาะประเด็นอื่นที่ยังมิได้ดำเนินการเท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความขึ้นอีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอายุความแล้วหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ส่วนปัญหาว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพียงใดนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยังไม่ได้วินิจฉัยและแม้จะได้มีการสืบพยานจนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาประเด็นนี้ต่อไปโดยตลอดได้เนื่องจากข้อเท็จจริงในสำนวนได้ความว่า โจทก์ให้จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้ก็เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยฝ่ายเดียวโดยเฉพาะ มิใช่เปิดไว้เพื่อหักทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกันแล้วคงชำระส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคอันเป็นลักษณะสำคัญของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงมิใช่หนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาจากจำเลยได้ แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตมากมายหลายรายการและโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นในลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดติดต่อกันตลอดมาเป็นการไม่ถูกต้อง ซึ่งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิอุทธรณ์ฎีกาของคู่ความได้ จึงเห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเต็มตามจำนวนทุนทรัพย์ ซึ่งฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคำสั่งศาลที่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การ เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ส่วนฎีกาในปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพียงใด ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่คืนค่าขึ้นศาลในชั้นนี้ ส่วนที่เกิน 200 บาทแก่โจทก์

Share