แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีจ่าสิบตำรวจ ส. เบิกความเป็นพยานเพียงปากเดียว โดยไม่เห็นเหตุการณ์การล่อซื้อ คงมีเพียงคำรับสารภาพของจำเลยเท่านั้น การจะพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคหนึ่ง พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ธนบัตรของกลางจำนวน 380 บาท พบรวมอยู่กับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ จำเลยรับในชั้นจับกุมว่าได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ธนบัตรของกลางดังกล่าวจึงได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนครั้งก่อน หาใช่ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนครั้งที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่อาจริบธนบัตรของกลางได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 และให้ริบเมทแอมเฟตามีน กระดาษตะกั่ว 1 ม้วน และธนบัตรจำนวน 360 บาท ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 7 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนรวมสองกระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี ฐานร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 3 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 7 ปี 20 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีน กระดาษตะกั่ว 1 ม้วน และธนบัตรจำนวน 360 บาท ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสามกรรมต่างกัน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนกระทงเดียว จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองให้ปรับ 120 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี และปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้คืนธนบัตรจำนวน 360 บาท ของกลางแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543 เวลา 8.20 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 51 เม็ดครึ่ง กระดาษตะกั่ว 1 ม้วน เป็นของกลาง ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ตามฟ้องข้อ 1.ข. หรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุวิทย์เบิกความเป็นพยานว่าร้อยตำรวจเอกไวพจน์ มอบธนบัตรฉบับชนิดราคา 100 บาท จำนวน 1 ฉบับ และชนิดราคา 20 บาท จำนวน 7 ฉบับ ให้สาบลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและสำเนาธนบัตรเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ตามลำดับ ต่อมาสายลับนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด มามอบแก่ร้อยตำรวจเอกไวพจน์ สายลับบอกว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวจากนายสมชายและนายสมชายมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่จำเลย เห็นว่า โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุวิทย์เบิกความเป็นพยานเพียงปากเดียว จ่าสิบตำรวจสุวิทย์ไม่เห็นเหตุการณ์การล่อซื้อ คงมีเพียงคำรับสารภาพของจำเลยเท่านั้น การจะพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวไม่พอฟังว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายขอให้ริบธนบัตรจำนวน 360 บาท (ที่ถูกน่าจะเป็น 380 บาท) ของกลางนั้น เห็นว่า ธนบัตรของกลางดังกล่าวพบรวมอยู่กับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ จำเลยรับในชั้นจับกุมว่าธนบัตรของกลางได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ธนบัตรของกลางดังกล่าวจึงได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนครั้งก่อน หาใช่ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนครั้งที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อาจริบธนบัตรของกลางได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน