แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โทษกักกันเป็นโทษอาญา+านหนึ่งและเป็นโทษ+ความผิดโดยเอกเทศโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นสำนวนปลีกขึ้นมาโดยลำพังขอให้ลงโทษกักกันสถานเดียวก็ได้ การจะลงโทษกักกันแก่จำเลยหรือไม่อยู่ในดุลยพินิจของศาล ศาลอาจไม่ลงโทษกักกันแก่จำเลยซึ่งเคยกระทำผิด (อันเป็นเหตุร้าย) 2 ครั้งมาแล้วก็ได้
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ขอให้เพิ่มโทษและขอให้ลงโทษกักกันด้วยเพราะจำเลยกระทำผิดเคยต้องโทษมาแล้ว ๒ ครั้ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ควรแยกฟ้องขอให้กักกันจำเลยอีกสำนวนหนึ่ง ในคดีนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นเอกเทศขอให้ลงโทษฐานกักกัน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโทษกักกันเป็นโทษสำหรับเพิ่มโทษในความผิดอื่นที่จำเลยกระทำลงกล่าวคือเป็นบทบัญญัติสำหรับเพิ่มโทษควบไปกับโทษในความผิดอื่นทำนองมาตรา ๒๕ แห่งกฎหมายอาญาหาใช่เป็นโทษกำหนดสำหรับการซึ่งเป็นความผิดโดยลำพัง โจทก์จะฟ้องเป็นสำนวนปลีกขึ้นมาโดยลำพังมิได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตัดสินว่าโทษกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง ไม่ใช่การเพิ่มโทษตาม ม.๗๒ แห่งกฎหมายอาญา เป็นโทษในความผิดตามลำพัง โจทก์จึงฟ้องเช่นนี้ได้ แต่เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยนี้ยังไม่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจริง เพราะถึงแม้จำเลยจะเคยต้องโทษฐานรับของโจร ๒ เดือนฐานลักทรัพย์ ๑ เดือนก็ยังไม่ถึงขนาดร้ายแรง ยังไม่สมควรจะลงโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้าย จึงพิพากษายืนตามให้ยกฎีกาโจทก์