แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โจทก์จึงมีคำวินิจฉัยสั่งการให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลาหนึ่งปีและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 96 นั้น โจทก์เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการที่เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง เมื่อโจทก์พิจารณารายงานการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด โดยใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการเป็นการฝ่าฝืน ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 57 มีผลให้การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และโจทก์ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการ โดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ รวมทั้งให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยด้วย คำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลบังคับเด็ดขาดเฉพาะกรณีการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลาหนึ่งปีและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ อันเกี่ยวกับในส่วนวิธีการและการจัดการเลือกตั้งตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์เท่านั้น แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งนั้น ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 99 วรรคหนึ่ง เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรับผิดในทางแพ่ง เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้มอบเงิน 20 บาท ให้แก่ ค. เพื่อจงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งจำเลยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ ดังนั้น การที่โจทก์จัดให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ จึงมิได้เกิดจากการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 57 จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งนั้นให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 293,422.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2548 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ประกาศให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2547 มีผู้รับสมัครเลือกตั้ง 3 คน คือ นายเฉลียว หมายเลข 1 จำเลย หมายเลข 2 และนายวิชาญ หมายเลข 3 ผลการเลือกตั้งจำเลยได้รับการเลือกตั้ง ต่อมานายเฉลียวร้องเรียนไปยังประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง โจทก์สอบสวนแล้วมีคำวินิจฉัยสั่งการว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 จำเลยได้ให้เงิน 20 บาท แก่นางคำพา ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย มีผลให้การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลาหนึ่งปี โดยให้มีผลนับแต่วันที่โจทก์มีคำสั่งและให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ โดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่และให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว จัดให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ ในวันที่ 9 ตุลาคม 2548 เสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งเป็นเงิน 293,422.50 บาท และพนักงานอัยการจังหวัดบัวใหญ่ ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ข้อหากระทำการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีถึงที่สุด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการร้องเรียนจากนายเฉลียวว่าการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2547 เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 จำเลยได้มอบเงิน 20 บาท ให้แก่นางคำพา เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย ต่อมาคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ได้สอบปากคำนางคำพาและนายอนุรักษ์แล้ว นางคำพาให้การยืนยันว่าจำเลยได้มอบเงิน 20 บาท ให้แก่ตน เพื่อให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย ส่วนนายอนุรักษ์ให้การว่า ขณะนายอนุรักษ์อยู่บริเวณข้างบ้านของตน ซึ่งห่างจากบ้านนางคำพาประมาณ 100 เมตร เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยยื่นเงิน 20 บาท ให้แก่นางคำพาและได้ยินจำเลยพูดกับนางคำพาว่า “อย่าลืมเบอร์ 2 เด้อคนดี” แต่ชั้นพิจารณาโจทก์มีนางคำพาเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า วันเกิดเหตุก่อนวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว เวลาประมาณ 16 นาฬิกา ขณะพยานอยู่บ้านคนเดียว จำเลยกับนายธีรพันธุ์หรืออาจารย์บุญส่ง มาหาพยานที่บ้าน จำเลยให้เงินพยาน 20 บาท เพื่อให้ช่วยเลือกจำเลยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว หลังจากจำเลยกับนายธีรพันธุ์เดินออกจากบ้านไปแล้ว พยานไปที่บ้านนายอนุรักษ์ บุตรพยาน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพยานประมาณ 50 เมตร แล้วมอบเงินที่รับมาจากจำเลยให้แก่นายอนุรักษ์พร้อมบอกว่า จำเลยกับนายธีรพันธุ์ให้เงินจำนวนดังกล่าวแก่พยาน นายอนุรักษ์บอกพยานว่า รับเงินมาเป็นความผิดตามกฎหมาย หลังจากนั้นนายอนุรักษ์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้แก่นายเฉลียว ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 1 ซึ่งเป็นน้องของนายฉลวย เห็นว่า โจทก์มิได้นำนายอนุรักษ์มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่าเห็นจำเลยให้เงิน 20 บาท แก่นางคำพาแล้วได้ยินจำเลยพูดกับนางคำพาว่า “อย่าลืมเบอร์ 2 เด้อคนดี” อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงในคดีว่านายอนุรักษ์กับนายฉลวยเคยช่วยหาเสียงให้แก่นายเฉลียวในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว ในคราวเดียวกับจำเลย นายอนุรักษ์จึงมีผลประโยชน์และมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีร่วมกันกับนายเฉลียว ถือได้ว่านายอนุรักษ์มีผลประโยชน์ในทางคดีขัดแย้งกับจำเลยด้วย นางคำพาเป็นมารดานายอนุรักษ์ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ต้องให้ข้อเท็จจริงต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อนายเฉลียว อีกทั้งเบิกความให้เป็นผลเสียต่อจำเลย จึงต้องฟังคำเบิกความของนางคำพาด้วยความระมัดระวัง ประกอบกับนางคำพาเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านโดยยอมรับว่านางคำพาเคยเบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1076/2550 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดบัวใหญ่ ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ข้อหากระทำการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง โดยตอบทนายความจำเลยถามค้านในคดีดังกล่าวว่า วันที่ 16 กรกฎาคม 2547 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา มีเพียงอาจารย์บุญส่งมาหานางคำพาเพียงคนเดียว จำเลยไม่ได้มาด้วย อาจารย์บุญส่งไม่ได้ให้เงินแก่นางคำพา พยานโจทก์ปากนี้เบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเหตุการณ์เดียวกัน แต่เบิกความต่างวาระกัน มีข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งแตกต่างในข้อสาระสำคัญในคดี คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้จึงเป็นพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับจำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปหาเสียงที่บ้านโนนปอแดง ไม่ได้ไปหานางคำพาที่บ้านเกิดเหตุ ส่วนนายธีรพันธุ์ไปหานางคำพาที่บ้านเกิดเหตุเพื่อตามหลานชายนางคำพาไปซ้อมมวยแต่ไม่พบ คงพบแต่นางคำพาอยู่บ้านเพียงคนเดียว ก่อนวันเกิดเหตุนางคำพาเคยขอเงินนายธีรพันธุ์ไปซื้อสุราดื่มบ่อยๆ วันเกิดเหตุนางคำพาขอเงินนายธีรพันธุ์ด้วย นายธีรพันธุ์ได้ให้เงินนางคำพาไป 20 บาท พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยมอบเงิน 20 บาท ให้แก่นางคำพาเพื่อให้ช่วยลงคะแนนเลือกจำเลยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว พยานหลักฐานของจำเลยสามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า อำนาจในการสืบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ถือว่าเป็นที่สุดและย่อมผูกพันศาลยุติธรรมด้วย ตามนัยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 52/2546 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โจทก์จึงมีคำวินิจฉัยสั่งการให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลาหนึ่งปี และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 96 นั้น โจทก์เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการที่เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง เมื่อโจทก์พิจารณารายงานการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมาและคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนและปัญหาหรือข้อขัดแย้ง โดยใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 มีผลให้การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและโจทก์ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการดังกล่าวข้างต้น โดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ รวมทั้งให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยด้วย คำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลบังคับเด็ดขาดเฉพาะกรณีการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลาหนึ่งปีและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ อันเกี่ยวกับในส่วนวิธีการและการจัดการเลือกตั้งตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์เท่านั้น แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 99 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรับผิดในทางแพ่ง โดยโจทก์อาศัยข้ออ้างว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยมอบเงิน 20 บาท ให้แก่นางคำพาเพื่อให้ช่วยลงคะแนนเลือกตั้งจำเลยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว อันสืบเนื่องมาจากนายเฉลียวร้องเรียนต่อคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ว่าจำเลยกระทำการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ จนเป็นเหตุให้โจทก์มีคำวินิจฉัยสั่งการให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยและให้มีการเลือกตั้งใหม่ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลยุติธรรมที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความเสียก่อนว่าจำเลยกระทำการตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้มอบเงิน 20 บาท ให้แก่นางคำพาเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งจำเลยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ดังนั้น การที่โจทก์จัดให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ จึงมิได้เกิดจากจำเลยกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวใหม่ ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ