แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จะต้องได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของ หรือมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในขณะที่กล่าวหาว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองหรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข
จำเลยเป็นลูกจ้างของ ส. ต่อเนื่องมาถึง ค. มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาทจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมานับแต่ ส. ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง ส. ถึงแก่กรรม และ ค. ผู้จัดการมรดกของ ส. โอนที่ดินพิพาทให้แก่ พ. แล้ว พ. โอนขายที่ดินต่อให้แก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนโจทก์ร่วมมาซื้อที่ดินพิพาทเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือครอบครองและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันบุกรุกเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามทำรั้วในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1306 ของบริษัทเอ.เอส.เอ็น. โฮลดิ้ง จำกัด ผู้เสียหาย เพื่อถือการครอบครองที่ดินทั้งหมดและเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365
ระหว่างพิจารณา บริษัทเอ.เอส.เอ็น โฮลดิ้ง จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365(3) จำคุก 6 เดือน สำหรับจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมนายสด กูรมะโรหิตเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1306ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 40 ไร่ 6 ตารางวา ซึ่งทางราชการออกเอกสารสิทธิให้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2519 และเป็นที่ดินพิพาทคดีนี้ ต่อมานายสดถึงแก่กรรม นายครรชิต กูรมะโรหิต เป็นผู้จัดการมรดกของนายสดตามคำสั่งศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 3854/2521ครั้นวันที่ 4 ธันวาคม 2534 ได้มีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่คุณหญิงพงา ดุลยธรรมธาดาราชวรสภาบดี และคุณหญิงพงาจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ร่วมเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2534 จากนั้นโจทก์ร่วมเข้าดำเนินการยึดถือรังวัดเพื่อปรับสภาพที่ดิน แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทขัดขวางอ้างว่าเป็นที่ดินของตนและทำการขึงรั้วลวดหนามปักเสาคอนกรีตเพื่อล้อมรอบบริเวณที่ดินพิพาท นายขวัญชัย แย้มชุติซึ่งมีหน้าที่ดูแลที่ดินของโจทก์ร่วมจึงร้องทุกข์ต่อนายดาบตำรวจละม่อมฟุ้งสุนทร เจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่ประจำตู้ยามหนองจับเต่าทำการจับกุมจำเลยที่ 1 กับพวก ส่งมอบแก่ร้อยตำรวจโทบำรุง รักษ์บำรุงสกุลพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสัตหีบดำเนินคดีนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า กรณีจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ตามที่โจทก์ฟ้องจะต้องได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในขณะที่กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครอง หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข คดีนี้แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของนายสดต่อเนื่องมาถึงนายครรชิต มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะบริวารของนายครรชิตก็แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมานับแต่นายสดยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งนายสดถึงแก่กรรม และนายครรชิต ผู้จัดการมรดกของนายสดโอนที่ดินพิพาทให้แก่คุณหญิงพงา แล้วคุณหญิงพงาโอนขายที่ดินพิพาทต่อให้แก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนโจทก์ร่วมมาซื้อที่ดินพิพาทเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ดังกล่าวมาข้างต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน