คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8872/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์ฎีกาแต่ระหว่างนั้นศาลชั้นต้นยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟัง ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 ดังนี้ นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังโจทก์ยังมีสิทธิยื่นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหรือขออนุญาตยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 217 และ 221 ภายในกำหนดเวลาหนึ่งเดือนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง เช่นนี้จะถือว่าคดีของจำเลยถึงที่สุดย้อนหลังไปวันที่ 24 กันยายน 2550 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังย่อมไม่ได้ เพราะขัดกับ ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาและศาลชั้นต้นให้ขยายระยะเวลาฎีกาถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ไม่ยื่นฎีกา คดีจึงถึงที่สุดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่ระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิฎีกาสิ้นสุดลงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดวันที่ 29 ธันวาคม 2550 จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371, 376, 83 โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 ต่อมาวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้โจทก์ฟัง ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2550 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2550 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2551 ศาลชั้นต้นอนุญาต วันที่ 17 ธันวาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขอขยายฎีกาศาลอนุญาตให้ถึงวันที่ 29 มกราคม 2551 ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2551 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่สอง ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลชั้นต้นอนุญาต ภายหลังศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุคดีถึงที่สุดวันที่ 29 ธันวาคม 2550
จำเลยยื่นคำร้องว่า ขอให้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยใหม่เนื่องจากโจทก์และจำเลยไม่ได้ฎีกา คดีจึงถึงที่สุดในวันที่ 24 กันยายน 2550 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยฟัง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 ส่วนโจทก์ยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาดังกล่าว ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงยังไม่มีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 188 ต่อมาโจทก์ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 คำพิพากษาดังกล่าวจึงมีผลตามกฎหมาย แต่ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากโจทก์ยังมีสิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหรือขออนุญาตยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ภายในระยะเวลา 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ซึ่งเมื่อครบกำหนดฎีกาในวันที่ 29 ธันวาคม 2550 โจทก์ไม่ยื่นฎีกา คดีจึงถึงที่สุดในวันดังกล่าว ดังนั้น หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คดีของจำเลยถึงที่สุดเมื่อใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 ซึ่งนำมาใช้แก่คดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ในวรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ซึ่งตามกฎหมายจะอุทธรณ์หรือฎีกาหรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้นั้น ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านเป็นต้นไป” และในวรรคสองบัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกาหรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง…” คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 แม้ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์ฎีกา แต่ระหว่างนั้นศาลชั้นต้นยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้โจทก์ฟัง เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้โจทก์ฟังในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 ดังนี้ นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้โจทก์ฟัง โจทก์ยังมีสิทธิยื่นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหรือขออนุญาตยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 217 และ 221 ภายในกำหนดเวลา 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง เช่นนี้ จะถือว่าคดีของจำเลยถึงที่สุดย้อนหลังไปวันที่ 24 กันยายน 2550 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยฟังย่อมไม่ได้เพราะขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โจทก์ไม่ยื่นฎีกา คดีจึงถึงที่สุดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่ระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิฎีกาสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันที่ 29 ธันวาคม 2550 จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดใหม่โดยระบุคดีถึงที่สุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551

Share