แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ผลิตเครื่องสำอางซึ่งในการประกอบกิจการโจทก์ต้องอาศัยการแข่งขันทางธุรกิจการค้า โจทก์จึงมีสิทธิตามสมควรที่จะป้องกันสงวนรักษาข้อมูลและความลับในทางการค้าเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของโจทก์ได้ จำเลยเป็นพนักงานโจทก์ตำแหน่งหัวหน้างานผสมผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการผลิตตามแผนงานของแผนกวางแผน โจทก์จึงมีสิทธิที่จะทำความตกลงกับจำเลยเพื่อรักษาความลับทางการค้าของโจทก์ได้ด้วยการทำข้อตกลงกับจำเลยในการห้ามประกอบกิจการหรือปฏิบัติงานในกิจการอื่นที่แข่งขันกับโจทก์ สัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ข้อ 2 ที่กำหนดว่า ในขณะที่จำเลยเป็นพนักงานหรือพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตามภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติงานเป็นพนักงานของนิติบุคคลอื่น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ในลักษณะการค้าประเภทหรือชนิดเดียวกันหรือคล้ายกัน หรือเป็นคู่แข่งทางการค้าของโจทก์นั้น เมื่อข้อตกลงมีกำหนดเวลาห้ามจำเลยอยู่ 1 ปี ถือได้ว่าเป็นกำหนดเวลาพอสมควร ไม่ทำให้จำเลยต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติ จึงเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี
หลังจากจำเลยพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์ภายใน 1 ปี แล้วไปทำงานกับบริษัทที่มีลักษณะทางการค้าคล้ายกัน เข้าเงื่อนไขตามสัญญาข้อ 2 ถือว่าจำเลยผิดสัญญาจ้าง แต่ข้อตกลงในสัญญาที่มีข้อความว่า หากฝ่าฝืนข้อตกลง จำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับเงินจำนวน 500,000 บาท เป็นการกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตามมาตรา 383 แต่การกำหนดค่าเสียหายเป็นดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง อันเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดให้ได้ จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์แล้วพิพากษาคดีเสียใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยเป็นพนักงานโจทก์ตำแหน่งหัวหน้างานผสมผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มีหน้าที่ควบคุมการผลิตตามแผนงานของแผนกวางแผน โดยเมื่อแผนกวางแผนได้กำหนดวัตถุดิบ ขั้นตอน และวิธีการผลิตแล้ว ฝ่ายผลิตมีหน้าที่ผลิตตามขั้นตอนและวิธีการที่ฝ่ายวางแผนกำหนด โจทก์ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการผลิตตามแผนงานของแผนกวางแผนดังกล่าว ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตโจทก์จะกำหนดเป็นรหัส พนักงานฝ่ายผลิตรวมทั้งจำเลยจะไม่ทราบว่าวัตถุดิบดังกล่าวคืออะไร ในการปฏิบัติงานดังกล่าวโจทก์จำเลยทำสัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ข้อ 2 กำหนดว่า จำเลยขณะที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม ภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยจะไม่ปฏิบัติงานเป็นพนักงานของนิติบุคคลอื่น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ในลักษณะการค้าประเภทชนิดเดียวกัน หรือคล้ายกันกับโจทก์หรือเป็นคู่แข่งทางการค้าของโจทก์ และข้อ 3 กำหนดว่า หลังจากที่จำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์แล้ว จำเลยจะไม่นำความลับหรือข้อมูลของโจทก์ ไม่ว่าความลับหรือข้อมูลนั้น ๆ จะเกี่ยวข้องกับหน้าที่และความรับผิดชอบในงานของจำเลยหรือไม่ก็ตามไปเปิดเผยด้วยวิธีใดก็ตามต่อผู้อื่นหรือนิติบุคคลอื่น ไม่ว่าผู้อื่นหรือนิติบุคคลนั้น ๆ จะทำการค้าประเภทใดก็ตาม และข้อที่ 5 กำหนดว่า หากจำเลยผิดหรือฝ่าฝืนสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องร้องและเรียกค่าเสียหายและยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงิน 500,000 บาท แล้ววินิจฉัยว่า ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยนำความลับทางการค้าไปเปิดเผยให้บริษัทอื่นทราบฟังไม่ขึ้น สัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ไม่เป็นโมฆะ แต่เป็นข้อตกลงที่ทำให้จำเลยถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติ จึงมีลักษณะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมไม่อาจใช้บังคับได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการเดียวตามอุทธรณ์โจทก์ว่า ข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์เป็นสัญญาที่ขัดกับพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่า เหตุที่โจทก์ต้องทำสัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์เนื่องจากการผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางย่อมมีข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า เพื่อคุ้มครองความลับทางการค้าโจทก์จึงให้พนักงานของโจทก์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเครื่องสำอางในระดับหัวหน้าทุกคนลงนามในข้อตกลง ทั้งข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมและไม่ได้ขัดกับพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 เห็นว่า โจทก์ผลิตเครื่องสำอางซึ่งในการประกอบกิจการโจทก์ต้องอาศัยการแข่งขันทางธุรกิจการค้า ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิตามสมควรที่จะป้องกันสงวนรักษาข้อมูลและความลับในทางการค้าเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของโจทก์ได้ จำเลยเป็นพนักงานโจทก์ตำแหน่งหัวหน้างานผสมผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการผลิตตามแผนงานของแผนกวางแผน โจทก์จึงมีสิทธิที่จะทำความตกลงกับจำเลยเพื่อรักษาความลับทางการค้าของโจทก์ได้ด้วยการทำข้อตกลงกับจำเลยในการห้ามประกอบกิจการหรือปฏิบัติงานในกิจการอื่นที่แข่งขันกับโจทก์ เมื่อพิจารณาสัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ข้อ 2 ที่กำหนดว่า ในขณะที่จำเลยเป็นพนักงานหรือพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตามภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติงานเป็นพนักงานของนิติบุคคลอื่น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ในลักษณะการค้าประเภทหรือชนิดเดียวกันหรือคล้ายกัน หรือเป็นคู่แข่งทางการค้าของโจทก์นั้น เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวมีกำหนดเวลาห้ามจำเลยอยู่ 1 ปี อันถือได้ว่าเป็นกำหนดเวลาพอสมควร สัญญาข้อตกลงเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงไม่ทำให้จำเลยต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติ จึงเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนยุติว่าหลังจากจำเลยพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์ภายใน 1 ปี แล้วไปทำงานกับบริษัทที่มีลักษณะทางการค้าคล้ายกัน จึงมีลักษณะเข้าเงื่อนไขตามสัญญาข้อ 2 ถือว่าจำเลยผิดสัญญาจ้าง อย่างไรก็ตามข้อตกลงในสัญญาที่มีข้อความว่าหากฝ่าฝืนข้อตกลง จำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับเงินจำนวน 500,000 บาท นั้น ย่อมเป็นข้อสัญญาที่กำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจลดลงได้โดยคำนึงถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้หรือโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 แต่การกำหนดค่าเสียหายนั้นเป็นดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง อันเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดให้ได้ จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์แล้วพิพากษาคดีเสียใหม่ตามรูปคดี
พิพากษากลับ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดในเรื่องค่าเสียหายตามสัญญาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี