คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาประมาณ 2,500 บาท เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินราคา 40,000 บาท ที่ดินนี้เป็นสินบริคณห์ของจำเลยกับผู้ร้อง และเป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวของจำเลยที่ไม่มีกรณีพิพาท ส่วนทรัพย์อื่นกำลังเป็นคดีพิพาทกันทั้งสิ้น การยึดนี้ไม่เป็นการยึดทรัพย์เกินความจำเป็น (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284)

ย่อยาว

เรื่องเดิมมีว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยไม่ชำระหนี้โจทก์บังคับคดี นำยึดที่ดิน 1 แปลง อ้างว่าเป็นของจำเลย

ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่าเป็นสามีจำเลย และที่ดินนี้เป็นสินบริคณห์ หนี้ที่จำเลยจะต้องชำระมีประมาณ 2,500 บาท แต่ที่ดินนี้ราคา 40,000 บาท โจทก์ยึดที่ดินทั้งแปลงโดยเจตนาจะให้ผู้ร้องเสียหาย การยึดที่ดินราคาสูงกว่าหนี้มาก ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 ขอให้เพิกถอนคำสั่งขายทอดตลาด

วันนัดพร้อมพิจารณาคำร้อง ผู้ร้องแถลงว่าทรัพย์อื่นของจำเลยยังมีอยู่ แต่กำลังเป็นความอยู่ทั้งสิ้น คงเหลือแต่ที่ดินที่โจทก์นำยึดแปลงเดียว

ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาว่าโจทก์แกล้งยึดให้ผู้ร้องเสียหาย และยึดทรัพย์ราคามากกว่าหนี้ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อทรัพย์อื่นของจำเลยล้วนกำลังเป็นความกันอยู่ คงเหลือแต่ที่ดินแปลงนี้แปลงเดียวเท่านั้น เมื่อที่ดินนี้ยังมิได้แบ่งเป็นของจำเลยและผู้ร้องเป็นส่วนสัด โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมนำยึดทั้งแปลงได้ จะถือว่าแกล้งยึดหรือยึดทรัพย์เกินความจำเป็นไม่ได้

พิพากษายืน

Share