คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิได้บังคับให้ศาลจำต้องชี้สองสถานเสมอไปฉะนั้น การที่ศาลมิได้ชี้สองสถานในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่จำเลยต่อสู้ว่าสัญญากู้โจทก์ทำขึ้นเอง และลายเซ็นช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยนั้นจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย
การวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเองเพื่อฉ้อโกงจำเลยลายเซ็นชื่อผู้กู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ฎีกาของโจทก์กล่าวว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้ดำเนินการชี้สองสถานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182, 183 เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้บังคับให้ศาลจำต้องชี้สองสถานเสมอไป คดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้ชี้สองสถานไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย โจทก์ฎีกาว่าการวินิจฉัยพยานหลักฐานศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกมาวินิจฉัยให้หมดสิ้นจากข้อเท็จจริงในท้องสำนวน ศาลฎีกาเห็นว่าการวินิจฉัยคดีนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไปฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share