แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การสั่งเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114 ถ้าปรากฏว่าไม่อาจบังคับให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ศาลก็กำหนดให้ชดใช้เงินแทนได้ การโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยและผู้คัดค้านได้กระทำในระหว่างที่สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์และสามารถตีราคาได้เป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลย และ ย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่ง คำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนในส่วนดังกล่าวนี้ จึงยังอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่ คำนวณได้
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2529 ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2529 และพิพากษาให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2529 ขณะนี้จำเลยยังไม่พ้นภาวะการล้มละลายเดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถว 2 ชั้น ห้องเลขที่ 20 จากมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหารต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยได้ทำหนังสือโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 1,700,000 บาท โดยผู้คัดค้านรู้ว่าจำเลยเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เชื่อว่าเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นการกระทำในระหว่างสามปีก่อนมีการขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน และให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านชดใช้เงิน 1,700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของจำเลย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า สิทธิการเช่าที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนนั้น เป็นสัญญาเช่าระหว่างมูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัยวัดบวรนิเวศวิหาร กับจำเลยฉบับลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2528ซึ่งสัญญาเช่าดังกล่าวได้หมดอายุลงแล้วตั้งแต่วันที่ 28กุมภาพันธ์ 2529 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย และไม่มีการต่อสัญญาเช่ากันอีกต่อไป ผู้ให้เช่าให้ผู้คัดค้านทำสัญญาเช่าหลังจากสัญญาเช่าฉบับเดิมหมดอายุลงแล้วอย่างไรก็ดี ในการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวผู้คัดค้านได้รับโอนมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนให้จำเลยแล้วผู้ร้องมีอำนาจร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการโอนเท่านั้น ไม่มีอำนาจให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินหรือค่าเสียหายแก่กองทรัพย์สินของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านรับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน แต่หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าที่จำเลยเช่าจากวัดบวรนิเวศวิหารแล้วผู้คัดค้านได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับวัดบวรนิเวศวิหารผู้ให้เช่าโดยตรง จึงไม่อาจเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้ แต่การโอนสิทธิการเช่ามีค่าตอบแทนเป็นเงิน 1,700,000บาท มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินจำนวน 1,700,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่กองทรัพย์สินของจำเลย นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในชั้นนี้ฟังได้ยุติว่าเดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยมีกำหนดอายุสัญญาเช่า 1 ปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2528 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 ดังปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.3 ครั้น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านโดยได้แจ้งขออนุญาตจากผู้ให้เช่า ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2529ผู้ให้เช่ามีหนังสือแจ้งอนุมัติให้โอนได้ การโอนสิทธิการเช่านี้ผู้คัดค้านได้รับโอนมาโดยไม่มีค่าตอบแทนแต่อ้างว่าได้ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 1,700,000 บาท หลังจากสัญญาเช่าตึกพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่าหมดอายุ ผู้ให้เช่าได้ทำสัญญาให้ผู้คัดค้านเช่าตึกพิพาทมีอายุการเช่า 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530 ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.4 ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2529โจทก์จึงได้ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย หลังจากสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ค.4 หมดอายุ ผู้คัดค้านก็ได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าตลอดมา ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.5 และ ค.6วันที่ 13 พฤศจิกายน 2532 ขณะอยู่ในอายุสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่ากับผู้คัดค้าน ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าเป็นคดีนี้
ปัญหาแรกที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า เมื่อศาลไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านจึงไม่อาจสั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินนั้น เห็นว่า ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วย เหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้ว แต่เนื่องจากสภาพที่ไม่อาจบังคับให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ประจักษ์แน่ชัดแล้ว จึงกำหนดสภาพการบังคับเป็นให้ชดใช้เงินแทนตามผลแห่งสภาพความจริงที่ปรากฏเป็นประจักษ์นั้นได้ในรูปคำสั่งเดียว ฎีกาผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาข้อต่อมาว่า สิทธิการเช่าตึกพิพาทที่ผู้คัดค้านรับโอนจากจำเลยมานั้นได้ครบกำหนดตามเงื่อนเวลาสิ้นสุดไปแล้วนั้น เห็นว่า การโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยและผู้คัดค้านได้กระทำในระหว่างที่สิทธิการเช่ายังไม่ครบกำหนดยังมีประโยชน์และสามารถตีราคาได้เป็นทรัพย์สินของจำเลยเมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลย และย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนในส่วนดังกล่าวนี้จึงย่อมอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้น ข้อเท็จจริงแห่งคดีก็ปรากฏตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่าได้มีการคำนวณกำหนดราคาไว้ และคดีฟังไม่ได้ความว่า ผู้คัดค้านได้ชำระราคาดังกล่าวแล้ว การเพิกถอนการโอนโดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน