แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินจำนวน 12,000,000บาท ไปจากโจทก์ โดยออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวด ๆ แต่เช็คทั้งหมดที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่โจทก์ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงยังมิได้รับชำระหนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินและไม่เคยสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าชำระหนี้ให้แก่โจทก์ สัญญากู้เงินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสัญญาปลอมที่โจทก์ได้ทำขึ้นเอง ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว หาใช่เป็นเพียงการคาดคะเนไม่ คดีนี้ได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2540 คำบังคับจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2540 และตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยก็บรรยายไว้ว่าจำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2540 อันเป็นการแสดงให้ปรากฏแล้วว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ได้สิ้นสุดลง คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงชอบด้วยหลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 แล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๓,๑๔๔,๑๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงิน๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่า โจทก์ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังบ้านเลขที่ ๘๒/๒๕๙ หมู่ที่ ๑๑ แขวงบางขุนเทียนเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ทราบดีว่าจำเลยมิได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวทั้งนี้โดยโจทก์ประสงค์จะมิให้จำเลยทราบและต่อสู้คดีได้อันเป็นการกระทำโดยมีเจตนาไม่สุจริต จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๐ จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์และมิได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสัญญาปลอมส่วนเช็คที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่าจำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนนั้นก็ไม่เป็นความจริง แต่เป็นเช็คที่จำเลยได้เคยใช้ดำเนินธุรกิจร่วมกันกับโจทก์
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยชอบแล้ว แต่จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และคำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าจำเลยอาจชนะคดีได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว นายสุนทร นาถะพินธุ พนักงานเดินหมาย กรมบังคับคดี เป็นผู้ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๓๙ส่งหมายนัดไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ ส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙และส่งคำบังคับให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๐ ตามรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๓๙ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๙ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๐ ซึ่งรวมอยู่ในสำนวน โดยการส่งทุกครั้งได้ส่งโดยวิธีปิดหมายที่บ้านเลขที่ ๘๒/๒๕๙ หมู่ที่ ๑๑ แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร จากฐานข้อมูลการทะเบียน สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เอกสารท้ายฟ้อง
ต่อมาวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๐ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาใหม่หรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางไต่สวนรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ แต่เพิ่งมาทราบเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๐ และถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา คดีจึงมีเหตุให้พิจารณาใหม่ตามคำร้องของจำเลย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล และมิได้กล่าวโดยละเอียดซึ่งเหตุแห่งการล่าช้าในการยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ จึงเป็นคำร้องที่มิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินจำนวน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปจากโจทก์โดยออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวด ๆ แต่เช็คทั้งหมดที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่โจทก์ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงยังมิได้รับชำระหนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงิน และไม่เคยสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าชำระหนี้ให้แก่โจทก์ สัญญากู้เงินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสัญญาปลอมที่โจทก์ได้ทำขึ้นเอง ดังนี้ ย่อมถือได้แล้วว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล หาใช่เป็นเพียงการคาดคะเนดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาไม่และสำหรับเหตุแห่งการยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ล่าช้านั้น เห็นว่า คดีนี้ได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๐ คำบังคับจึงมีผลตั้งแต่วันที่๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันดังกล่าวคือภายในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ เว้นแต่กรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ก็ให้เริ่มนับกำหนดเวลาสิบห้าวัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงซึ่งตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยก็บรรยายไว้ว่าจำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๐ อันเป็นการแสดงให้ปรากฏแล้วว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ได้สิ้นสุดลงแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงชอบด้วยหลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้องตามมาตรา ๒๐๘ คำสั่งและคำพิพากษาของสองศาลล่างชอบแล้ว
พิพากษายืน.