คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8824/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลร่วมกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาขายที่ดินอันมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาเป็นการประกอบกิจการร่วมค้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา 39 จึงเป็นนิติบุคคลผู้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับที่ได้จากกิจการที่ดำเนินการร่วมกันต่างหากจากโจทก์ทั้งแปดแต่ละคนตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77/1 (4) ประกอบมาตรา 91/1 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งแปดได้ร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะในนามของนิติบุคคลผู้ประกอบกิจการร่วมค้าเช่นนี้ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินได้โดยไม่จำต้องออกหมายเรียกตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/15 (1) และมาตรา 88/4 ประกอบกับมาตรา 91/21 (5) กรณีภาษีธุรกิจเฉพาะ ประมวลรัษฎากรมิได้กำหนดเวลาการประเมินไว้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติอายุความทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี ในการเรียกเอาค่าภาษีอากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ สภ.2/อช.4/32/26/46 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 และงดหรือลดเบี้ยปรับรวมทั้งเงินเพิ่ม
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งแปดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ได้ร่วมกันขายที่ดินแปลงดังกล่าวภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา อันเข้าลักษณะเป็นทางค้าหรือหากำไรตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดมีว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีอากรประเมิน ประเภทประเมินตนเอง โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีภาระหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีดังกล่าวเองภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนี้ การที่โจทก์ทั้งแปดประกอบกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 จึงเป็นนิติบุคคลผู้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจากรายรับที่ได้จากกิจการที่ดำเนินการร่วมกันอีกโสดหนึ่งต่างหากจากโจทก์ทั้งแปดแต่ละคนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1 (4) ประกอบมาตรา 91/1 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะในนามของนิติบุคคลผู้ประกอบกิจการร่วมค้าเช่นนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจประเมินได้โดยไม่จำต้องออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/15 (1) และมาตรา 88/4 ประกอบกับมาตรา 91/21 (5) กรณีภาษีธุรกิจเฉพาะนี้ประมวลรัษฎากรมิได้กำหนดเวลาการประเมินไว้ และกรณีสิทธิเรียกร้องในหนี้ภาษีอากรมีอายุครบตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี ในการเรียกเอาค่าภาษีอากร ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 15 กันยายน 2545 หลังจากที่โจทก์ทั้งแปดได้รับหนังสือแจ้งการประเมินจากจำเลยที่ 1 แล้ว การที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีภายในอายุความดังกล่าวจึงชอบแล้วที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้นศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นฟ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดว่า มีเหตุงดหรือลดเบี้ยปรับรวมทั้งเงินเพิ่มลงอีกหรือไม่ เห็นได้ว่าขณะที่โจทก์ทั้งแปดร่วมกันขายที่ดินตามฟ้องนั้นเป็นช่วงเวลาปีแรกที่มีการบังคับใช้ภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจในการผลิตตุ๊กตาหรือของเล่นสำหรับเด็ก มิได้ประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเป็นปกติธุระ โจทก์อื่นก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งโจทก์ที่ 1 โดยโจทก์ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ทั้งแปดขายที่ดินตามฟ้องก็ได้ความว่าโจทก์ที่ 1 เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย 350,000 บาท ซึ่งนอกจากอาจเป็นเหตุให้เข้าใจว่าตนชำระภาษีแก่รัฐแล้ว โจทก์ทั้งแปดยังอาจไม่ตระหนักถึงภาระภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนของการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรในนามของนิติบุคคลผู้ประกอบกิจการร่วมค้าโดยถ่องแท้ พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งแปดจึงยังไม่พอถือว่าเจตนาละเลยไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าโจทก์ที่ 1 ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเช่นนี้ ย่อมมีเหตุอันควรผ่อนผันแก่โจทก์ทั้งแปด จึงให้ลดเฉพาะเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ 02009470/6/100175 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2545 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ สภ.2/อช.4/32/26/46 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 โดยให้ลดเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

Share