แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยครอบครองปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามกฎหมาย แม้โจทก์จะจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลไปก่อนแล้ว โจทก์ก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยไม่ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่7627 เนื้อที่ 2 งาน 4 ตารางวา โจทก์ได้มาโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 389/2517 เมื่อวันที่ 16ตุลาคม 2517 เดิมจำเลยได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือกว้าง 4 วา ยาว 5 วา หลังจากที่ดินตกเป็นของโจทก์แล้วจำเลยยังอาศัยโจทก์ปลูกบ้านอยู่ต่อมา โจทก์ประสงค์จะทำผลประโยชน์ในที่ดินเต็มเนื้อที่ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยกับบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อาศัยที่ดินของโจทก์ มารดาจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 80 ปีแล้วจำเลยอยู่กับมารดาและได้ครอบครองที่พิพาททั้งแปลงโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ใช่ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 7627 ตำบลบ่อโพงอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 2 งาน 4 ตารางวาทิศเหนือติดที่ดินนางผวน โกมินทร์ ทิศใต้ติดที่ดินโฉนดเลขที่7626 ที่โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่น ทิศตะวันออกติดที่ดินนางทองเจือ โพธิ์ย้อย กับที่ดินนางหนุน เทศนิยมทิศตะวันตกติดแม่น้ำป่าสัก เดิมเป็นของนายเขียว อำแดงจันปัจจุบันมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของโดยโจทก์จดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2517 ตามใบแทนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3ที่พิพาทมีบ้านเลขที่ 34 ของจำเลยปลูกอยู่เพียงหลังเดียวเป็นบ้านใต้ถุนสูง ตามแผนที่สังเขปและภาพถ่ายหมาย ล.3
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยมีนางผวน โกมินทร์ นางละม่อม อักษรศารเจ้าของที่ดินข้างเคียงและใกล้เคียงที่พิพาท และนายบุญเรือน สีเผือก ผู้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของนางบุญเจือ โพธิ์ย้อย ซึ่งอยู่ติดกับที่พิพาทด้านทิศตะวันออกเป็นพยานเบิกความสอดคล้องตรงกันกับจำเลยว่า บ้านโจทก์จำเลยต่างปลูกอยู่ตามสภาพดังที่ปรากฏในขณะเกิดกรณีพิพาทมานานหลายสิบปีแล้วทั้งสองหลังโดยเฉพาะนางผวนยืนยันว่าเห็นจำเลยกับบิดามารดาปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทโดยสงบไม่มีใครโต้แย้งมานานถึง 60 ปีแล้ว กับมีนายผล ยิ้มนิล กำนันท้องที่ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหมู่ที่ 5 ที่ตั้งพิพาทเมื่อปี 2519 เป็นพยานยืนยันว่าได้เห็นโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626มาตั้งแต่พยานย้ายมาอยู่ในบ้านหมู่ที่ 5 เห็นว่าพยานจำเลยทุกคนไม่มีผู้ใดมีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี นางผวนเป็นคนเก่าแก่อายุ 80 ปี อยู่ในที่ดินของตนมาตั้งแต่เกิด นายผลก็เป็นเจ้าพนักงานไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะเบิกความลำเอียงเข้าข้างจำเลยฝ่ายโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยมาขออาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท คงมีแต่นายเสงี่ยม อินทรรักษา กับนางสุพจน์ อ่วมภักดี ซึ่งเป็นดอง กับโจทก์ โดยบุตรคนหนึ่งของโจทก์เป็นลูกสะใภ้นายเสงี่ยม อีกคนเป็นลูกเขยนางสุพจน์ เป็นพยานเบิกความลอย ๆว่าจำเลยอาศัยโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท โดยอ้างว่าทราบเรื่องราวมาจากตัวโจทก์จำเลยและนางเทียมมารดาจำเลย ที่โจทก์นำสืบว่าเดิมโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท จำเลยกับนางเทียมปลูกบ้านอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 ต่อมาตลิ่ง พังถึงใต้ถุนบ้านโจทก์และบ้านจำเลยกับนางเทียม โจทก์จึงรื้อบ้านย้ายไปปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 ส่วนจำเลยกับนางเทียมรื้อบ้านย้ายเข้ามาปลูกในที่พิพาท โจทก์กับนายเสงี่ยมก็เบิกความถึงกำหนดเวลาในเรื่องนี้ขัดแย้งไม่ลงรอยกันเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อโดยโจทก์เบิกความว่า จำเลยกับนางเทียมรื้อบ้านย้ายเข้ามาปลูกในที่พิพาทในปี 2516 โจทก์เพิ่งจะรื้อบ้านย้ายไปปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 เมื่อ 7-8 ปีมานี้ ส่วนนายเสงี่ยมเบิกความว่า โจทก์รื้อบ้านออกไปแล้วจำเลยกับนางเทียมจึงเข้ามาปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท ที่โจทก์นำสืบว่านายเขียวอำแดงจันเจ้าของเดิมขายที่พิพาทให้นางเผือดมารดาโจทก์ แล้วโจทก์ซื้อต่อจากนางเผือดอีกทอดหนึ่งก็ขัดแย้งกับข้ออ้างที่เคยอ้างเมื่อครั้งโจทก์ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทในปี 2517 โดยครั้งนั้นโจทก์อ้างว่าได้ซื้อที่พิพาทมาจากนายเขียวอำแดงจันเจ้าของเดิมโดยตรง ตามภาพถ่ายหมาย ล.3 ปรากฏว่าบ้านจำเลยปลูกถาวรมั่นคงทั้งมีขนาดค่อนข้างใหญ่จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะรื้อบ้านที่มีสภาพเช่นนี้ออกจากที่ดินที่ตนมีกรรมสิทธิ์ไปอาศัยปลูกอยู่ในที่ดินของผู้อื่น นอกจากนี้ยังไม่มีพฤติการณ์ใด ๆ บ่งชัดให้เห็นว่าจำเลยได้ยอมรับนับถืออำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์หรือบุคคลอื่นใด พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่า รับฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมานับแต่ครั้งบิดามารดาจำเลยยังมีชีวิตเป็นเวลานานหลายสิบปี ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามกฎหมาย แม้โจทก์จะจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาล โจทก์ก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยไม่ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์