คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนซึ่งผู้เสียหายเป็นครูใหญ่จำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายลงจำนวนเงินไว้ในบัญชีรับบริจาคน้อยกว่าตามที่รับบริจาคมาทั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายเป็นค่าอะไรจำนวนเท่าใด ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ การกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าผู้เสียหายไม่สุจริต การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อบุคคลที่สามในทำนองที่ว่าผู้เสียหายทุจริตว่าเบียดบังเอาเงินของโรงเรียนไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ทำการพัฒนาโรงเรียน จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมผู้เสียหายด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2531 เวลากลางวันจำเลยได้ใส่ความนายโสภณ อุปริพุทธิกุล ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทรารามผู้เสียหาย ต่อนายสุวรรณ เรืองศรี ด้วยการพูดว่า “นายโสภณครูใหญ่ไม่ดีหลายอย่าง กินเงินโรงเรียนแล้วยังไม่พัฒนาโรงเรียน” และใส่ความผู้เสียหายต่อนางบัวแย้ม ขันธวิชัย ด้วยการพูดว่า “ต้องการจะเอาครูใหญ่ออกจากโรงเรียน เนื่องจากนายโสภณ อุปริพุทธิกุล ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทรารามโกงเงินของโรงเรียนที่ชาวบ้านบริจาคช่วยเหลือให้กับทางโรงเรียนวัดสมุทราราม ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทรารามเป็นคนขี้โกง โกงเงินโรงเรียนไม่ว่ารายได้ใด ๆ ของโรงเรียน นายโสภณจะโกงหมดทุกเรื่อง” โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับ 1,500 บาท รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 3,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและสภาพความผิดไม่ร้ายแรงนัก เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนจำเลยกล่าวถ้อยคำตามฟ้องต่อนายสุวรรณและนางบัวแย้ม นั้นได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนวัดสมุทราราม เป็นเงินจำนวน 4,000 บาทแต่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นครูใหญ่ลงไว้ในบัญชีรับบริจาคเพียง 1,500 บาททั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายไปเป็นค่าอะไร จำนวนเท่าใด และผู้เสียหายก็ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับ รายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนได้ทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ เห็นว่าการกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าผู้เสียหายไม่สุจริต การที่จำเลยกล่าวแก่บุคคลที่สามตามฟ้อง จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมผู้เสียหายด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share