คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8802/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดกุญแจประตูหน้าบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายและเข้าไปในเคหสถานงัดประตูห้องนอนของผู้เสียหาย แล้วร่วมกันลักสายยู 1 อันราคา 300 บาท ซึ่งใช้ล่ามบานประตูให้ติดกับกุญแจของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานไปโดยทุจริต ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยพยายามเข้าไปลักทรัพย์ที่มิใช่สายยูที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องในเคหสถานของผู้เสียหาย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องและข้อแตกต่างนี้เป็นข้อสาระสำคัญในความผิดฐานลักทรัพย์เพราะโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายเพื่อลักทรัพย์ที่อยู่ในเคหสถานนั้นด้วย ทั้งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อย่างอื่นของผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสี่
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมายังเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364 รวมอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องด้วยแล้ว ทั้งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองมา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268, 335(3)(8), 336 ทวิ, 91, 83, 33 และให้ริบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม คีมตัดเหล็ก ไขควง ชะแลง และวิทยุสื่อสารของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมส่วนสายยูที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองร่วมกันลักไปนั้นใช้สำหรับคล้องประตูรั้วบ้านของนายกฤษดา ธานี ผู้เสียหาย การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้คีมตัดเหล็กตัดสายยูเพื่อต้องการเข้าไปลักทรัพย์อื่นที่อยู่ในบ้านของผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยทั้งสองไม่ต้องการลักเอาสายยูของผู้เสียหายไป จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานลักสายยูของผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อื่นของผู้เสียหาย และพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก, 335(3)(8),336 ทวิ ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมจำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันพยายามลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะจำคุก5 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 ปี และให้ริบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ธ – 4302 กรุงเทพมหานครคีมตัดเหล็ก ไขควง ชะแลง และวิทยุสื่อสาร ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265ตามมาตรา 268 วรรคสอง กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)(7)(8) วรรคสาม, 336 ทวิ ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 อีกกระทงหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานได้หรือไม่ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ทั้งข้อแตกต่างนั้นเป็นข้อสาระสำคัญและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงต้องยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานนั้น เห็นว่า โจทก์กล่าวในฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดกุญแจประตูหน้าบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และเข้าไปในเคหสถานงัดประตูห้องนอนของผู้เสียหายแล้วร่วมกันลักสายยู 1 อันราคา 300 บาท ซึ่งใช้ล่ามบานประตูให้ติดกับกุญแจของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานไปโดยทุจริต ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยพยายามเข้าไปลักทรัพย์ที่มิใช่สายยูที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องในเคหสถานของผู้เสียหาย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกันกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง และข้อแตกต่างนี้เป็นข้อสาระสำคัญในความผิดฐานลักทรัพย์เพราะโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายเพื่อลักทรัพย์ที่อยู่ในเคหสถานนั้นด้วย ทั้งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อย่างอื่นของผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสี่ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้จึงไม่ชอบฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมายังปรากฏว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดประตูบ้านและประตูห้องนอนเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานของผู้เสียหาย ซึ่งนอกจากจะเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์แล้ว ยังเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364 รวมอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องด้วยแล้ว ทั้งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองมา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามข้อเท็จจริงที่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำเอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มาด้วยนั้นหาเป็นการถูกต้องไม่ เพราะความผิดฐานนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดฐานทำเอกสารราชการปลอมจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265, 83 และมาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364, 83 ความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมจำคุกคนละ 3 ปี ความผิดฐานบุกรุกเคหสถานจำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ6 ปี ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกคนละ 4 ปี 6 เดือน ยกฟ้องในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share