แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีก่อนแม้จะยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันอาจถูกเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ ก็ตาม แต่การที่จำเลยใช้ให้คนนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันที่ดินพิพาทแล้วจุดไฟเผาต้นไม้ต่าง ๆ ที่โจทก์ปลูกไว้จนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากแม้จะอ้างว่ากระทำไปโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาว่าจ้างก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและทรัพย์สินของโจทก์บนที่ดินพิพาทโดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามกฎหมายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ เมื่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามใบจอง (น.ส.2)เล่มที่ 2 หน้า 104 สารบบเล่ม 626 ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานีเนื้อที่ 30 ไร่ และที่ดินอื่นอีก 100 ไร่ รวมเนื้อที่ 130 ไร่ โจทก์ทำประโยชน์ด้วยการปลูกพืชไร่ประเภทต้นมะม่วง ต้นยูคาลิปตัส และไม้ยืนต้นอื่น ๆ จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยทั้งสองจ้างบุคคลอื่นนำรถแทรกเตอร์และรถไถบุกรุกเข้าไปไถดันดินในที่ดินแปลงดังกล่าวทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 40 ไร่เศษและจุดไฟเผาเป็นเหตุให้ต้นยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกได้รับความเสียหาย แล้วจำเลยทั้งสองปลูกอาคารและสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินพร้อมทั้งครอบครองที่ดินโจทก์ทั้งหมด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 205,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันทำละเมิดไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพาบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีก
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จังหวัดอุทัยธานีจ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์อุทัยธานีในที่ดินพิพาท ต้นไม้ในที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ความเสียหายไม่เกิน 1,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาก่อสร้างสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์อุทัยธานีในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 130 ไร่ เป็นที่ดินตามใบจอง (น.ส.2) เล่มที่ 2 หน้า 104สารบบเล่ม 626 ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี เนื้อที่ 30 ไร่ใบจองนี้นายอำเภอสว่างอารมณ์แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538 ว่า ออกทับที่สาธารณประโยชน์ (หน้าเขาป่ารวก) ให้นำใบจองไปคืนเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอสว่างอารมณ์เพื่อดำเนินการเพิกถอนต่อไป โจทก์ทำบันทึกถ้อยคำคัดค้านการเพิกถอนใบจองดังกล่าว และได้ใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 107/2539 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดีในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต ในคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่า ยังไม่ได้ข้อยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงน่าเชื่อว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่า ในคดีเดิมแม้ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันอาจถูกเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ใช้ให้คนนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันที่ดินพิพาททางด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ แล้วจุดไฟเผาต้นไม้ต่าง ๆ ทำให้ต้นยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกไว้ประมาณ 10 เดือน ถูกไฟเผาไหม้ได้รับความเสียหายจำนวน 16,000 ต้นราคาต้นละ 10 บาท คิดเป็นค่าเสียหาย 160,000 บาท และต้นไม้อื่น ๆ เสียหายอีกนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่ากระทำไปโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย ล.1ก็ตาม แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและทรัพย์สินของโจทก์บนที่ดินพิพาทโดยไม่มีอำนาจที่จะทำได้ตามกฎหมายเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ เมื่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองมิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความไว้ให้ปรากฏ จึงไม่มีประเด็นในเรื่องอายุความ การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์มีภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบจึงต้องถือว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้ยกเหตุผลมาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ชัดแจ้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกควรเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่งในชั้นนี้จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายจำนวน 172,000 บาทคิดเป็นค่าขึ้นศาล 4,300 บาท จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ 205,000บาท เป็นเงิน 5,125 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาเป็นเงิน 825 บาท แก่จำเลยทั้งสอง”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 825 บาท แก่จำเลยทั้งสองค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ