คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์แม้ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฐานเบิกความเท็จ ศาลก็ลงโทษผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทางอาญาเท่านั้น คำพิพากษาคดีอาญาหามีผลทำให้คำพิพากษาคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดไปแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 ฟ้องผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นคดีอาญาฐานเบิกความเท็จ จึงหาเป็นเหตุเพียงพอให้งดการบังคับคดีแพ่งไว้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 796,180 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ยึดที่ดิน น.ส.3 ก. ของจำเลยที่ 2 รวมสี่แปลงเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้

จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ ทั้งได้ฟ้องผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นจำเลยคดีอาญาข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จ เพราะผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความเท็จในคดีนี้จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ถูกยึดทรัพย์ ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ 2333/2541 และขอให้ศาลชั้นต้นงดการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าหากคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีความผิด จำเลยที่ 2 จะเสียหาย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดตามที่จำเลยที่ 2ขอ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ โดยให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้โจทก์ แม้ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฐานเบิกความเท็จ ศาลก็ลงโทษผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทางอาญาเท่านั้น คำพิพากษาคดีอาญาหาได้มีผลทำให้คำพิพากษาคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดไปแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่ การที่จำเลยที่ 2 ฟ้องผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นคดีอาญาฐานเบิกความเท็จ จึงหาเป็นเหตุเพียงพอให้งดการบังคับคดีนี้ไว้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share