คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10700/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันได้ชำระค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 2 ผู้เช่าซื้อแล้ว โจทก์มีสิทธิเพียงไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 693 วรรคหนึ่ง แม้ตามวรรคสองบัญญัติว่า “ผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย” และสัญญาค้ำประกัน ข้อ 3 ระบุให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิได้รับช่วงสิทธิทั้งหลายที่เจ้าของมีอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าตามกฎหมายหรือตามสัญญาเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อก็ตาม ก็คงมีความหมายเพียงว่า ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 การที่โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของจำเลยที่ 1 บรรดามีเหนือของจำเลยที่ 2 หาทำให้โจทก์มีสิทธิในรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปจากจำเลยที่ 1 ไม่ เนื่องจากรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 2 ไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 2 ทั้งไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ และบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๒ ม – ๗๒๘๓ ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบทะเบียนรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๒ มอบรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๒ ม – ๗๒๘๓ ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และยอมให้โจทก์ริบเงินค่าเช่าซื้องวดแรกของจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑๑,๕๕๓ บาท และยอมให้โจทก์หักกลบลบหนี้ราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์กับจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำสัญญาเช่าซื้อของจำเลยที่ ๒ เมื่อจำเลยที่ ๒ ผิดสัญญาและโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ ๑ จนครบถ้วนแล้ว โจทก์มีสิทธิตามกฎหมายที่จะไล่เบี้ยเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ ๒ ได้ แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติรับรองให้โจทก์รับช่วงสิทธิเพื่อฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อต้องโอนรถจักรยานยนต์ให้โจทก์หรือให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์ จึงให้ยกฟ้อง
ต่อมาวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๓ โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องจากข้อความเดิมที่ว่า “ผู้เป็นเจ้าหนี้อยู่แต่เดิมของจำเลยที่ ๑ ด้วย” เป็นข้อความใหม่ว่า “ผู้เป็นเจ้าหนี้อยู่แต่เดิมของจำเลยที่ ๒ ด้วย และโจทก์ยังต้องใช้สิทธิเรียกร้องต่างจำเลยที่ ๒ ได้ด้วย”
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลยกฟ้องโจทก์แล้ว จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สมควรรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกัน เมื่อได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ ๑ แทนจำเลยที่ ๒ ไปแล้ว โจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิของจำเลยที่ ๑ โดยผลของกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๓ วรรคสอง และโดยผลของสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้อง ข้อ ๓ ที่ระบุให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิได้รับช่วงสิทธิทั้งหลายที่เจ้าของมีอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าตามกฎหมายหรือตามสัญญาเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ได้รับช่วงสิทธิของจำเลยที่ ๑ แล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับช่วงกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันนั้น” และวรรคสองบัญญัติว่า “ผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย” ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้แล้ว โจทก์มีสิทธิเพียงไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกหนี้เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันเท่านั้น แม้ในวรรคสองบัญญัติว่า ผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย และสัญญาค้ำประกัน ข้อ ๓ ระบุให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิได้รับช่วงสิทธิทั้งหลายที่เจ้าของมีอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าตามกฎหมายหรือตามสัญญาเกี่ยวกับสัญญเช่าซื้อก็ตาม ก็คงมีความหมายเพียงว่า ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๖ บัญญัติไว้เท่านั้น การที่โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของจำเลยที่ ๑ บรรดามีเหนือจำเลยที่ ๒ หาทำให้โจทก์มีสิทธิในรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ ๒ เช่าซื้อไปจากจำเลยที่ ๑ ไม่ เนื่องจากรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ ๒ ไปแล้วโดยผลของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิของจำเลยที่ ๑ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ ๒ ทั้งไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนรถจักรยานยนต์ และฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๒ ส่งมอบรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๒ เพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์ชำระแทนไปตามสิทธิของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว… ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share