คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์มีใจความว่าจำเลยที่ 1 เป็นทหารประจำการกับพวกได้บังอาจสมคบกันมีขวดเหล้า ไม้กระบองและกริชเป็นสาตราวุธสมคบกันขว้างตีและแทงทำร้ายร่างกายผู้ตายถึงบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยสมคบกันทำร้าย เป็นฟ้องที่อ่านได้ความว่าจำเลยทั้งสามสมคบกันกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายแล้ว ไม่มีทางให้เข้าใจว่าสมคบกับใครอื่นนอกจากจำเลยในฟ้อง จึงนับว่าเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2487 พลทหารอิ่มเป็นทหารประจำการกับพวก ได้บังอาจสมคบกันมีขวดเหล้าไม้ตะบองและกฤชเป็นศาสตราวุธสมคบกันขว้างตี และแทงทำร้ายร่างกายนายแก้วจนถึงบาดเจ็บสาหัส และนายแก้วถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยสมคบกันทำร้าย ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาฆ่าให้ตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 294, 63

จำเลยทั้งสามปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2, 3 นั้น คำฟ้องโจทก์มิได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดอย่างไร เมื่อโจทก์ไม่กล่าวมาว่าจำเลยทั้งสองนี้สมคบกับจำเลยอื่น อย่างใดให้ชัดแจ้ง ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ปรับ 20 บาท ให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยที่ 2 และ 3

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาฟ้องทั้งฉบับพอเห็นได้ว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 3 คนกระทำผิดฐานฆ่านายแก้วโดยเจตนาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนโดยพิพากษาใหม่

จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 2, 3 ในข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์หรือไม่ แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวแต่ต้นอ่านได้ความว่า จำเลยทั้งสามสมคบกันกระทำผิด ฐานฆ่านายแก้ว ไม่มีทางให้เข้าใจว่าสมคบกับใครอื่น นอกจำเลยในฟ้อง จึงนับว่าเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 จึงพิพากษายืนตามให้ยกฎีกาจำเลย

Share