คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งอยู่ตอนหน้าที่ดินโฉนดของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยทำสัญญาเช่า แล้วขัดขืน ไม่ยอมทำสัญญาใหม่ แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะก็ตาม เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทอยู่หน้าที่ ดินของโจทก์จริงและการที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทก็โดยภริยาจำเลยขอเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยก็รู้เห็นด้วย แต่มิได้เป็นคู่สัญญาเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นคนตาบอด ทำสัญญาเช่าแล้วภริยาจำเลยก็ปลุกเรือนขึ้น จำเลย ก็มาอยู่ด้วยดังนี้ เมื่อภริยาจำเลยผู้เช่าถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาทแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ต่อไปได้ เมื่อ จำเลยขัดขืนโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินตอนหน้าที่ดินโฉนดที่ ๗๙๑๒ ของโจทก์ที่ติดกับลำแม่น้ำน้อย เพื่อปลูกเรือนอยู่ โจทก์ได้ฟ้องนายนวล นางสำราญครั้งหนึ่งแล้ว นายนวลนางสำราญยอมออกจากที่ดินไป แต่กลับให้นายจิ้น สามีนาง สำราญอยู่แทนจนบัดนี้ โจทก์ให้มาทำสัญญาเช่าใหม่ก็ไม่มาทำ กลับทำตัวเป็นปกปักษ์ อ้างว่าเป็นที่สาธารณะ จึงขอให้ขับ ไล่จำเลย ฯลฯ
ก่อนจำเลยให้การ โจทก์ขอถอนฟ้องนายผิน นางเลี่ยมเสีย ศาลอนุญาต
นายิจ้น จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็ฯที่สาธารณะประโยชน์ ไม่ใช่อยู่หน้าที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินคนละตอนกับที่ดินของ
โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินตอนหน้าที่ดินโฉนดที่ ๗๙๑๒ ของโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยได้ลงชื่อในสัญญาเช่าด้วย ได้ความเพียงว่าที่พิพาทรายนี้อยู่หน้าที่ดินโฉนดที่ ๗๙๑๒ ของโจทก์จริง และการที่จำเลยจะมาอยู่ในที่รายนี้ก็โดยนายนวลกับนางสำราญภริยาจำเลยได้ไปขอเช่าจากโจทก์ ขณะ นั้นจำเลยก็อยู่รู้เห็นด้วย แต่โจทก์มิได้ให้จำเลยเป็นคู่สัญญา เพราะเห็นว่าจำเลยเป็นคนตาบอด ทำสัญญาเช่าแล้ว นาย นวลนางสำราญจึงปลูกเรือนขึ้น จำเลยก็มาอยู่ด้วยดังนี้เมื่อนายนวลนางสำราญผู้เช่าต้องถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกไปจาก ที่พิพาทแล้ว จำเลยซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญาด้วยก็ไม่มีสิทธิที่จะคงปลูกเรือนให้เป็นการกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ได้ เมื่อ จำเลยยังขัดขืน โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย.

Share