คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 875/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

กรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของโจทก์โดยโจทก์มิได้ยินยอมให้กรอก แล้วนำเอกสารมาฟ้องเรียกเงินกู้เป็นการปลอมเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรค 2 โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลมะขามหย่ง แต่โจทก์เบิกความว่าเหตุเกิดที่บ้านจำเลย ตำบลบางปลาสร้อย เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้กรอกข้อความและตำบลทั้งสองอยู่อำเภอเดียวกัน ไม่ถือว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 วรรคสอง จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 264 และ มาตรา 177 อีก 2 กระทง จำคุกเพิ่มขึ้นอีก8 เดือน โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาว่า จำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และเบิกความเท็จหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยตามลำดับ ในข้อหาปลอมเอกสารนั้น โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ลงชื่อในกระดาษเปล่าให้จำเลยที่ 1 ไป 1 แผ่น ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางโกศล ทรงบำเรอ ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2513 ของศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์ปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินตามสัญญากู้นั้น แต่เคยลงชื่อในกระดาษเปล่าให้ไป พลตำรวจตรี อุดม ลัดพลี ผู้เชี่ยวชาญของศาลพิสูจน์ลายมือชื่อของ นางโกศล ทรงบำเรอ ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1ตามสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวกับลายมือชื่อของนางโกศล ทรงบำเรอ ในเอกสารอื่นแล้ว น่าเชื่อว่าไม่ใช่ลายมือของบุคคลคนเดียวกัน ประกอบกับศาลฎีกาพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2513 ของศาลชั้นต้นว่า น่าจะไม่มีการกู้เงินกันจริงตามสัญญากู้นั้น จึงรับฟังได้ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2513 ของศาลจังหวัดชลบุรี เป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กรอกข้อความในสัญญากู้ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กรอกข้อความในสัญญากู้ การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แล้วนำเอกสารนั้นมาฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ที่อาจเกิดเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสองที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดที่ ตำบลมะขามหย่ง แต่โจทก์เบิกความว่าเหตุเกิดที่บ้านจำเลยที่ 2 คือตำบลบางปลาสร้อย ทำให้จำเลยที่ 1 หลงข้อต่อสู้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 รับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของโจทก์ และตำบลทั้งสองนั้นก็อยู่ในท้องที่อำเภอเดียวกันเช่นนี้ ยังไม่พอถือได้ว่าทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้อันเป็นเหตุให้ยกฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว

สำหรับข้อหาฐานใช้เอกสารปลอมนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยได้ใช้เอกสารปลอมข้อความในฟ้องที่ว่า “การที่จำเลยทั้งสองได้กรอกข้อความลงในกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์นั้น จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาเพื่อนำเอกสารนั้นไปใช้ในกิจกรรมที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์” เป็นข้อความที่บรรยายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสองเท่านั้น แม้ข้อความตอนต้นจะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ได้นำกระดาษที่กรอกข้อความนั้นมาฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ก็ตามฟ้องของโจทก์ก็ยังไม่ครบองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268สถานที่เกิดเหตุฐานใช้เอกสารปลอมโจทก์ มิได้บรรยายไว้ บทมาตราในกฎหมายที่ขอให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม โจทก์มิได้ขอมาท้ายฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานให้เอกสารปลอม และลงโทษทั้งความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(6)

สำหรับข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ และจำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานว่าโจทก์กู้เงินนางโกศลทรงบำเรอ ไปซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์มิได้กู้เงินนางโกศล ทรงบำเรอเพราะนางโกศล ทรงบำเรอ ถึงแก่กรรมไปแล้ว จึงไม่อาจลงชื่อในสัญญากู้ได้ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2513 ของศาลจังหวัดชลบุรี ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญากู้ที่จำเลยที่ 1 นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล และความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว

ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ให้หนักขึ้นนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานปลอมเอกสารมีกำหนด 6 เดือน และวางโทษในความผิดฐานเบิกความเท็จมีกำหนด 2 เดือนนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง ให้จำคุก6 เดือน และมีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177ให้จำคุก 2 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 8 เดือน”

Share