คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยบุตรีผู้เสียหายซึ่งเป็นภรรยาโดยพฤตินัยของจำเลยนัดให้ไปพบ ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันควร และแม้เมื่อผู้เสียหายได้ไล่จำเลยให้ออกไป แต่จำเลยไม่ยอมออกทั้งนี้ เพื่อขอร้องภรรยาจำเลยให้กลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาดังเดิมดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยไม่มีเหตุอันควรได้เข้าไปในบริเวณบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้เสียหายได้ไล่ให้จำเลยออกไปแต่จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365(3)

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364, 365(3) จำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่า เดิมนางสุภาภรณ์บุตรผู้เสียหายเคยหนี้ออกจากบ้านไปจดทะเบียนสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย ต่อมาได้จดทะเบียนหย่าขาดกันแล้วนางสุภาภรณ์กับจำเลยได้แต่งงานกันอีกโดยได้กระทำตามประเพณีนิยม มีการออกบัตรเชิญแขกไปเป็นเกียรติในพิธีมงคลสมรสปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 และภาพถ่ายหมาย ล.2 ถึง ล.4 แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ถือว่านางสุภาภรณ์กับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยพฤตินัยและนางสุภาภรณ์เพิ่งหนีไปอยู่กับผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุเพียง 2 – 3 วันเท่านั้นการที่จำเลยเข้ามาในบ้านผู้เสียหายก็ได้ความจากตัวผู้เสียหาย นางอุไร และนางสุภาภรณ์ตรงกันว่าจำเลยจะมาขอคืนดีกับนางสุภาภรณ์ ทั้งปรากฏว่านางสุภาภรณ์เป็นผู้นัดแนะให้จำเลยมาพบที่บ้านในเกิดเหตุ การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายดังกล่าวนับว่าเข้าไปโดยมีเหตุอันควร แม้จะได้ความว่าผู้เสียหายได้ไล่จำเลยให้ออกจากบ้าน จำเลยไม่ยอมออกก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านผู้เสียหายก็เพื่อจะขอร้องให้นางสุภาภรณ์กลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาตามเดิมพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share