คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินซึ่งโจทก์จำเลยแย่งกันครอบครองตอนที่อยู่ติดต่อกันโจทก์จำเลยชอบที่จะมีสิทธิครอบครองร่วมกัน จำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมอยู่ด้วยจึงมีสิทธิใช้ที่พิพาทได้ไม่เป็นละเมิดไม่ต้องใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ใช้ที่พิพาทนั้นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์มีที่ดินครอบครองอยู่ทางเหนือ จำเลยมีที่ดินครอบครองอยู่ทางใต้และตะวันออกติดต่อกัน ต่างแย่งครอบครองที่พิพาทเป็นเนื้อที่ 15 ไร่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์พิพากษาให้ขับไล่จำเลย ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้อง ให้ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาทเพราะ จำเลยเข้าแย่งทำเป็นเงิน 7,500 บาท และปีต่อ ๆ ไปจนกว่าจะออกจากที่พิพาท จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทั้งโจทก์จำเลยต่างก็อายุเกิน 70 ปีด้วยกันทั้งคู่ และอยู่ใกล้ชิดติดกันมานาน ทั้งสองฝ่ายอาจจะขยายอาณาเขตการครอบครองของตนออกไปจนเกิดเหตุรุกล้ำและแย่งการครอบครองกัน ดังปรากฏเป็นที่พิพาทในคดีนี้

ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายฟังไม่ได้ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียว กรณีเป็นเรื่องทั้งสองฝ่ายต่างแย่งกันครอบครองที่พิพาทเพื่อขยายอาณาเขตเดิมของตน โจทก์จำเลยชอบที่จะมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่พิพาท เมื่อจำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมอยู่ด้วยดังวินิจฉัยแล้วจำเลยก็ย่อมมีสิทธิใช้สอยที่พิพาทปลูกมันสำปะหลังได้โดยไม่เป็นการละเมิดและไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ผู้เดียว และพิพากษาขับไล่จำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 3 ศาลแทนจำเลยเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนค่าทนายความทั้งสามศาลให้ต่างเป็นพับ”

Share