แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ไม่จำต้องบรรยายว่า รับไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้ายอย่างในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ฉะนั้น เมื่อโจทก์บรรยายเพียงว่าจำเลยบังอาจรับทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งถูกลักไปนั้นไว้จากคนร้ายผู้ได้ทรัพย์นั้นมาในการทำผิดฐานลักทรัพย์ ดังนี้ ก็ครบองค์ความผิดและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว เพราะการทำความผิดฐานนี้ต้องประกอบด้วยเจตนาตามมาตรา 59 อยู่แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗ คืนรถจักรยานของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจังหวัดแม่สอดพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ให้จำคุก ๖ เดือน คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับรถจักรยานไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญแห่งความผิดฐานรับของโจร จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ปรึกษาในที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรมีว่า “จำเลยบังอาจรับรถจักรยานของนายผจญ ทัศนสุวรรณ ซึ่งถูกคนร้ายลักเอาไปไว้จากคนร้ายซึ่งได้รถนั้นมาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์” นั้น ได้ความครบถ้วนตามองค์แห่งความผิดรับของโจร มาตรา ๓๕๗ แล้ว ความผิดฐานนี้มีองค์ประกอบการรู้ว่าเป็นของร้ายอยู่ในตัวแล้ว เพราะต้องประกอบด้วยเจตนาตามมาตรา ๕๙ อยู่แล้ว ฉะนั้น แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในฟ้องตามแบบอย่างแต่เดิมว่ารับไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้าย ก็เป็นการเพียงพอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ข้อที่ว่าจำเลยกระทำความผิดนี้โดยเจตนานั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไป
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่