คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำยอมความกันว่าให้ถือตรอกทางเดินที่พิพาทกันเป็นทางสาธารณ และจำเลยยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ศาลพิพากษาตามยอมและจำเลยปฏิบัติตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์กลับปลูกสร้างขึ้นบนทางเดินนั้น ดังนี้จำเลยจะมาร้องขอในคดีเดิมในบังคับโจทก์รื้อไม่ได้ เพราะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่กรณีตามยอมความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยก่อผนังคอนกรีตกีดขวางตรอกทางเดินเข้าสู่ที่ดินโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอน และเลิกเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การต่อสู้คดี
ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยทำสัญญายอมความกันต่อศาลใจความว่า โจทก์จำเลยตกลงกันถือตรอกทางเดินรายพิพาทเป็นทางเดินสาธารณ และจำเลยยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในทางเดินนี้ออกไปภายใน ๑๕ วัน ศาลพิพากษาตามยอม
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยปฏิบัติตามยอมความแล้ว แต่โจทก์กลับสร้างโรงเรือนขึ้นบนทางรายพิพาท ขอให้ศาลบังคับโจทก์ตามสัญญายอมความ
ศาลได้ไปตรวจทางพิพาทแล้ว มีคำสั่งให้โจทก์จัดการรื้อถอน
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นการขอให้บังคับจำเลย ไม่ใช่ขอให้บังคับโจทก์ เมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความแล้ว คดีก็เป็นอันเสร็จสิ้นกันไป การที่โจทก์ทำอะไรลงบนทางพิพาทภายหลัง ก็เป็นกรณีอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวแก่สัญญายอมความ เพราะโจทก์ยินยอมให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณอยู่เสมอ จะอ้างสัญญายอมมาบังคับโจทก์ในคดีนี้ยังไม่ได้ พิพากษาคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่จำเลยร้องขอให้บังคับแก่โจทก์นั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์จะต้องปฏิบัติตามสัญญายอมความ จำเลยจะขอให้ศาลสั่งบังคับแก่โจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ พิพากษายืน

Share