แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กำหนดระยะเวลา 1 เดือน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 ต้องคำนวณตามปีปฏิทิน และถ้าไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/5
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ฟังเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 และเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีเพียง 28 วัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 หากจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ทัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้ เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ ว่า จำเลยที่สามมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ จำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๒๐ ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๔ ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๔ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามคำขอ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๓ ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า จำเลยที่ ๓ ยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ต่อมา ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ กำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ หนึ่งเดือนเริ่มนับหนึ่งวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๔ แต่ไม่มีวันตรงกันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ วันสุดท้ายที่จำเลยที่ ๓ จะยื่นอุทธรณ์หรือขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้คือวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ศาลตรวจสำนวนแล้ว จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้อง ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๔ พ้นกำหนดแล้ว ที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ ๓ ขยายระยะเวลา ยื่นอุทธรณ์มานั้นจึงเป็นการผิดหลงให้เพิกถอนเสีย และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ฉบับลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๔ มานั้น ก็ถือว่าเป็นการผิดหลง ให้เพิกถอนเสียเช่นเดียวกัน แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยที่ ๓ ยื่นอุทธรณ์ เกินกำหนด ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า กำหนดระยะเวลา ๑ เดือน ต้องคำนวณตามปีปฏิทิน และถ้าไม่มีวันตรงกัน ในเดือนสุดท้าย ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๕ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ฟังเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ และเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ มีเพียง ๒๘ วัน จำเลยที่ ๓ ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หากจำเลยที่ ๓ ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ทัน จำเลยที่ ๓ ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ส่วนที่จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๔ โดยยกเหตุขึ้นอ้างว่า ระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามกฎหมายกำหนดต้องยื่นภายใน ๑ เดือน เท่ากับ ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลได้อ่านคำพิพากษา โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย แต่อย่างใด ทั้งได้ความว่าวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ เป็นวันพุธมิใช่วันหยุดราชการ จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้ จำเลยที่ ๓ จึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วัน อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง ยื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.