แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 3 โดยมีเงื่อนไขว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน จำเลยที่ 3 เอาประกันภัยรถยนต์คันนี้ไว้กับจำเลยที่ 4 กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า ‘บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง………’ ดังนี้การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัยและมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย (อ้างฎีกาที่ 3583/2529) ส่วนจำเลยที่2 ต้องรับผิดในฐานะนายจ้าง สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ครอบครองด้วย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการเชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัย เท่ากับจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 4 เองนั้น โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนส.บ.08801 ของโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ต.ก.03863 จำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันดังกล่าวไว้ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ต.ก.03863ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.บ.08801 เสียหาย โจทก์ที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 แล้วบางส่วน ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่1 จำนวน 111,100 โจทก์ที่ 2 จำนวน 107,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ต.ก.03863 และได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 ขณะเกิดเหตุรถคันนี้ไม่อยู่ในความครอบครองใช้ประโยชน์และรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสำราญ ผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.บ.08801ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 99,500 บาทแก่โจทก์ที่ 1 พร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้ชำระเงินจำนวน 25,000 บาทแก่โจทก์ที่ 2 พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.บ.08801 ไว้กับโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ต.ก.03863 จากจำเลยที่ 3 แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 4จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.บ.08801 เสียหาย สัญญาประกันภัยที่จำเลยที่ 3 ทำขึ้นกับจำเลยที่ 4 มีข้อตกลงว่า บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง………..’ เห็นว่ากรณีนี้จำเลยที่2 เป็นผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวได้นำรถยนต์ไปใช้โดยให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนเป็นคนขับแล้วเกิดเหตุคดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 และมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเอง ตามข้อตกลงยินยอมระหว่างจำเลยที่ 3 ที่ 4 ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทและทำละเมิดเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยตามข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 3 ที่ 4 ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ครอบครองรถด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า คดีนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการเชิดจำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัยตามเอกสารหมาย ล.2 เท่ากับจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 4 เองเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถโจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้นั้น เห็นว่าประเด็นข้อนี้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 มิได้ยกขึ้นอ้างไว้ในคำฟ้อง ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์