คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ปืนยิงเด็กซึ่งส่องไฟหากบที่ริมรั้วบ้านจำเลยถึงแก่ความตายโดยจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่จำเลย เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,69
ความสำคัญผิดว่ามีภยันตรายอันต้องป้องกันนั้น เป็นความสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 62 ไม่ใช่มาตรา 61
ความสำคัญผิดตามมาตรา 61 เป็นเรื่องสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งแม้จะกระทำต่อบุคคลใดก็เป็นผิดทั้งนั้น ส่วนความสำคัญผิดตามมาตรา 62 นั้น เป็นความสำคัญผิดซึ่งทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลงได้
จำเลยยิงคนตายโดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เป็นการกระทำโดยเจตนาแต่เป็นการป้องกันซึ่งเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จึงเป็นผิดตามมาตรา 288,69 และความสำคัญผิดนั้นก็เกิดโดยความประมาทของจำเลย เช่นนี้จำเลยย่อมผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท โดยผลของมาตรา 62วรรคสอง ด้วย กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษในเรื่องฆ่าโดยป้องกันเกินกว่ากรณี อันเป็นบทหนักตามมาตรา 90 แต่ถ้าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่เป็นความผิดก็คงเหลือเพียงความผิดในส่วนที่สำคัญผิดโดยประมาทตามมาตรา 62วรรคสอง คือความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทตามมาตรา 291 ฐานเดียว
ผู้ที่กระทำการป้องกันด้วยกันหาได้ร่วมกันกระทำผิดไม่ เมื่อผลของการกระทำของผู้นั้นไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใด ผู้นั้นก็ย่อมไม่มีความผิด แม้ว่าผู้ร่วมป้องกันคนอื่นจะได้รับโทษฐานป้องกันเกินกว่ากรณีจากผลแห่งการกระทำส่วนของคนอื่นนั้นก็ตาม (ประชุมใหญ่ ครั้งที่10/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันใช้ปืนยิงเด็กชายเหยียวฮุยถึงแก่ความตาย โดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่านายพัวพี่จำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 และริบปืนของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การว่าได้ยิงเด็กชายเหยียวฮุยตายจริง โดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่ชาย จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยิง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เพียงแต่จำเลยสงสัยว่ามีคนร้ายมาที่นอกรั้วบ้าน จำเลยก็ใช้ปืนยิงไปถูกคนตายเช่นนี้ จำเลยต้องมีผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 วางโทษจำคุกจำเลยคนละ 18 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78, คงจำคุกคนละ 9 ปี ริบปืนของกลาง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพฤติการณ์ที่เด็กชายเหยียวฮุยกับพวกมาส่องไฟจับกบนั้นย่อมไม่ใช่ลักษณะเดียวกับคนที่จะไปทำร้ายผู้อื่น เพราะไม่น่าจะมีคนร้ายเดินจุดไฟส่องมาเรื่อย ๆ จนถึงรั้วบ้านผู้ที่ตนจะทำร้าย ถ้าจำเลยที่ 1ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแล้ว น่าจะรู้ว่าแสงไฟที่ส่องมาถึงริมรั้วบ้านของตนเป็นแสงไฟส่งหากบไม่ใช่เพื่อจะทำร้ายจำเลยหรือนายพัว การที่จำเลยที่ 1 ยิงไปเช่นนี้เป็นการกระทำโดยประมาทขาดความระมัดระวังอันพึงมีตามควรแก่พฤติการณ์ จำเลยที่ 1 จึงมีผิดฐานทำให้เด็กชายเหยียวฮุยถึงแก่ความตายโดยประมาท มิใช่กระทำโดยเจตนาตามฟ้อง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรค 2 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมในการยิงปืนไปถูกเด็กชายเหยียวฮุยด้วย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยทั้งสองคน ริบของกลาง

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทำความเห็นแย้ง ไม่เห็นโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในข้อที่ว่า ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้องลงโทษไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรค 2 โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าเด็กชายเหยียวฮุยนั้น เป็นการแสดงว่าจำเลยตั้งใจยิงคนที่ตนยิงนั้นเอง แต่เมื่อบรรยายฟ้องต่อไปว่ายิงโดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นคนร้าย ความสำคัญผิดย่อมลบล้างเจตนาฆ่าอยู่ในตัว จึงหาเป็นการแตกต่างกับฟ้องไม่ อนึ่ง ความสำคัญผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดขึ้นโดยประมาทนี้ ย่อมเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษฐานทำให้คนตายโดยประมาท โดยผลของกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 4 สมควรลงโทษจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี แต่เป็นความเห็นฝ่ายข้างน้อย ไม่มีผลบังคับ

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงไปถูกเด็กชายเหยียวฮุยซึ่งมาส่องกบถึงแก่ความตาย โดยจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่านายพัวพี่จำเลย ปัญหามีว่าจำเลยจะมีความผิดสถานใด

ศาลฎีกาได้ปรึกษาปัญหานี้ในที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า กรณีเช่นนี้จะปรับบทด้วยมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายอาญามิได้ เพราะกรณีตามมาตรา 61 นั้น เป็นเรื่องกระทำต่อบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดว่าเป็นบุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งแม้จะกระทำต่อบุคคลใดก็เป็นผิดทั้งนั้นต่างกับมาตรา 62 อันเป็นเรื่องสำคัญผิดซึ่งถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลงได้ กรณีแห่งคดีนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญผิดในตัวบุคคลแต่เป็นเรื่องสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่ชายตน ซึ่งถ้าหากเป็นคนร้ายจริง จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันภยันตรายนั้นได้โดยไม่เป็นความผิดมาตรา 68 หรือถ้าเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลก็อาจลงโทษน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 69 แม้ว่าภยันตรายนั้นจะไม่มีจริง แต่มาตรา 62 ก็ได้บัญญัติให้วินิจฉัยการกระทำของจำเลยโดยถือเสมือนว่า มีภยันตรายเกิดขึ้นตามที่จำเลยสำคัญผิดนั้น อันเป็นเหตุให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดหรือได้รับโทษน้อยลงได้แล้วแต่กรณี

อนึ่ง ในกรณีเดียวกันนี้ มาตรา 62 วรรค 2 ได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาท ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาทด้วย คือ มีความผิดทั้งในการกระทำโดยเจตนาตามวรรคแรกและมีความผิดในส่วนที่สำคัญผิดโดยประมาทตามวรรค 2 ด้วยเช่นนี้ จะปรับบทลงโทษจำเลยอย่างใด

ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุซึ่งโทษชั้นสูงหนักกว่าโทษขั้นสูงของความผิดฐานประมาทก็เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทซึ่งต้องลงโทษฐานป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 288, 69 แต่ถ้าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุซึ่งไม่เป็นความผิด ก็คงเหลือเพียงความผิดในส่วนที่สำคัญผิดโดยประมาทตามมาตรา 62 วรรค 2 คือ ต้องลงโทษฐานทำให้คนตายโดยประมาท

การที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงเด็กชายเหยียวฮุยซึ่งส่องไฟหากบในคดีนี้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยการกระทำของจำเลยดังกล่าวโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการป้องกันมีอยู่โดยจำเลยสำคัญผิดว่ามีคนร้ายจะมาฆ่านายพัวพี่จำเลย แต่คนร้ายยังไม่ทันเข้ามาในรั้วและจะเข้ามาจริงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ จำเลยที่ 1 ก็กำบังตัวเองอยู่ในสระน้ำห่างรั้วประมาณ 7 วา นายพันพี่จำเลยก็อยู่ถึงในห้องเรือนห่างไกลออกไป ทั้งในที่นั้นก็มืดซึ่งคนร้ายไม่เห็นจำเลยและนายพัวส่วนจำเลยเห็นคนร้าย แต่คนร้ายยังไม่มีกิริยาอาการว่าจะทำอันตรายโดยวิธีใด การที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงไปถึงตาย เช่นนี้เป็นการกระทำโดยเจตนาแต่เป็นการป้องกันอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จึงมีความผิดตามมาตรา 288, 69 ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ และแม้จำเลยจะสำคัญผิดโดยประมาทดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ก็เป็นความผิดที่มีโทษต่ำกว่าปัญหาเรื่องฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษฐานประมาทหรือไม่ จึงเป็นอันหมดไป

สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งแก้ว่าได้ยิงปืนไปทางอื่นไม่ใช่ด้านที่เด็กชายเหยียวฮุยอยู่ และกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ที่กระทำการป้องกันด้วยกันหาได้ร่วมกันกระทำผิดไม่ เมื่อผลของการกระทำของผู้ที่ป้องกันคนนั้นไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใด ก็ย่อมไม่เกินกว่าเหตุและไม่เกินกว่ากรณี จึงไม่เป็นความผิด

อาวุธปืนที่จำเลยทั้งสองใช้ยิงนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดและปืนที่จำเลยที่ 2 ใช้ยิงก็เป็นปืนมีทะเบียนจึงไม่ริบ ส่วนปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ยิงนั้นเป็นปืนที่นายพัวให้มาใช้ป้องกันภยันตราย มิใช่ให้มาสำหรับการกระทำผิด และในสำนวนก็มิได้ปรากฏว่าเป็นปืนที่มีไว้โดยผิดกฎหมาย จึงไม่ควรริบ

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มี กำหนด 2 ปี ปืนของกลางไม่ริบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share