คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8718/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องไม่ได้ขอรับชำระหนี้ค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดให้รวมไว้ในมูลหนี้ ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินซึ่งยื่นไว้ การที่ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ว่า ได้แจ้งความประสงค์ว่าผู้ร้องต้องการขอรับชำระหนี้ในส่วนค่าปรับรายวันจากลูกหนี้ตามที่ยื่นฎีกาไว้ มิใช่การขอรับชำระหนี้ตามแบบพิมพ์แสดงรายละเอียดแห่งหนี้สินตามบทบัญญัติ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 วรรคสอง และผู้ร้องสามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ส่วนนี้ได้ล่วงหน้าอยู่แล้วโดยไม่ต้องรอให้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาเสียก่อน ดังนั้นเมื่อผู้ร้องนำหนี้ปรับรายวันตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมายื่นขอรับชำระหนี้เพิ่มเติมเมื่อพ้นกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามบทบัญญัติ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 อีกทั้งหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ เด็ดขาด ย่อมต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 94

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมยอดหนี้ในคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับที่ ๒ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องในการขอเพิ่มเติมยอดหนี้ โดยอ้างเหตุว่าเป็นการแก้ไขในสาระสำคัญและเลยกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๑ และไม่ใช่กรณีตามมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ เนื่องด้วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้เข้ามาว่าคดีแต่อย่างใด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้ยกคำร้องขอเพิ่มเติมยอดหนี้ของผู้ร้องนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้ร้องได้แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบในขณะสอบสวน คำขอรับชำระหนี้ว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดียังไม่ถึงที่สุดโดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และผู้ร้องประสงค์จะขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป ประกอบกับมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ แล้ว เพียงแต่ผู้ร้องขอแก้ไขยอดหนี้ในคำขอรับชำระหนี้ให้ถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่มีผลเป็นที่สุดแล้วเท่านั้น หาใช่เป็นการยื่น คำขอรับชำระหนี้ใหม่ทั้งมูลหนี้อันเป็นการยื่นภายหลังกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๓ไม่ อีกทั้งการที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาพ้นกำหนดระยะเวลาในการขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๑ แล้ว กรณีจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอแก้ไขยอดหนี้ให้ถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีากาได้ทันภายในกำหนด ระยะเวลาในการขอรับชำระหนี้มาตรา ๙๑ ดังนั้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมยอดหนี้ของผู้ร้องไว้พิจารณาดำเนินการต่อไป
ผู้คัดค้านและโจทก์ยื่นคำคัดค้านในทำนองเดียวกัน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้เพิ่มเติมหรือแก้ไขยอดหนี้เพิ่มเติมขึ้นตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณา คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วได้หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ ตามบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินอันดับที่ ๒ ซึ่งผู้ร้องได้แจ้งไว้แล้วว่าหนี้ตามคำพิพากษานั้นยังไม่ถึงที่สุด ผู้ร้องได้ยื่นฎีกาเรื่องค่าปรับรายวันพร้อมดอกเบี้ยและผู้ร้องมีความประสงค์ขอรับชำระหนี้ตามยอดเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยในส่วนนี้ไว้ด้วย เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองร่วมกันชำระค่าปรับ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมยอดหนี้ดังกล่าว แม้จะพ้นกำหนดขอรับชำระหนี้ตามกฎหมายแต่ก็เป็นการแก้ไขยอดหนี้ให้ถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากการยื่นคำขอรับชำระหนี้เดิม มิใช่เป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในมูลหนี้ใหม่นั้น เห็นว่า มูลหนี้ที่ผู้ร้องนำมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสองในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้น เนื่องจากการผิดสัญญาก่อสร้างงานไม่แล้วเสร็จ โดยขอบังคับให้ลูกหนี้ทั้งสองร่วมกันชำระค่าปรับและค่าเสียหาย ที่ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มรวมเป็นเงิน ๖,๕๓๒,๗๕๗.๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖,๑๒๑,๑๕๘.๙๔ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่ผู้ร้องต้องว่าจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อในราคาที่สูงขึ้นเป็นเงิน ๓,๔๘๖,๙๒๗.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาด ผู้ร้องได้มายื่นคำขอรับชำระหนี้รวม ๕ อันดับ ภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนดโดยได้ระบุในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินว่า มูลหนี้อันดับที่ ๒ เป็นหนี้ตามคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้น จำนวนเงิน ๔,๗๘๐,๗๒๐.๒๒ บาท และหลักฐานประกอบหนี้คือสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ แสดงว่าผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้อันดับที่ ๒ เฉพาะหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้น จำนวน ๔,๗๘๐,๗๒๐.๒๒ บาท เท่านั้น ส่วนหนี้ค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดให้รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๖๓๔,๒๓๑ บาท แม้ว่าผู้ร้องจะฟ้องขอให้บังคับชำระหนี้มาด้วยกันและผู้ร้องได้ใช้สิทธิอุทธรณ์และฎีกาตามลำดับ แต่ผู้ร้องไม่ได้ขอรับชำระหนี้ดังกล่าวนี้รวมไว้ในมูลหนี้อันดับที่ ๒ ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินซึ่งยื่นไว้เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๙ ไว้ด้วย ที่ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ว่า ได้แจ้งความประสงค์ว่าผู้ร้องต้องการขอรับชำระหนี้ในส่วนค่าปรับรายวันจากลูกหนี้ทั้งสองตามที่ยื่นฎีกาไว้ก็มิใช่การขอรับชำระหนี้ตามแบบพิมพ์แสดงรายละเอียดแห่งหนี้สินตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ วรรคสอง และแม้ศาลฎีกายังไม่ได้มีคำพิพากษาในส่วนหนี้ค่าปรับรายวันดังกล่าว หากผู้ร้องประสงค์ขอรับชำระหนี้ส่วนนี้ ผู้ร้องย่อมสามารถ ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวมกับยอดหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลยแดงที่ ๒๐๗๒๗/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้นได้ล่วงหน้าอยู่แล้วโดยไม่ต้องรอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาเกี่ยวกับหนี้ส่วนนี้เสียก่อน ดังนั้นเมื่อผู้ร้องนำหนี้ค่าปรับรายวันตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมายื่นขอรับชำระหนี้เพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๑ จึงพ้นกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ อีกทั้งหนี้ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาด ย่อมต้องห้ามมิให้ ขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๔ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน .

Share