คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8485/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

รายได้จากการกรีดยางที่ได้มาหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว มิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดก แต่เป็นดอกผลของที่ดินทรัพย์มรดกตกได้แก่เจ้าของที่ดินตามสัดส่วนแห่งความเป็นเจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336และ 1360 โจทก์ทราบดีว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำน้ำยางไปจำหน่ายหารายได้ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนขอแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกและศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยแบ่งที่ดินแก่โจทก์โดยที่ดินดังกล่าวเป็นสวนยางพารามีรายได้จากการกรีดยางตั้งแต่ขณะโจทก์ฟ้องคดี ก่อนซึ่งจำเลยได้เอาไว้เป็นประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบรายได้จากการกรีดยางดังกล่าวแก่โจทก์เสียในคราวเดียวกัน แต่กลับมาฟ้องเรียกร้องเป็นคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนางเหน รองวัง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2536 นางเหนถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 344/2537 จำเลยไม่ยอมแบ่งปันมรดกให้แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทครึ่งหนึ่งตามกฎหมาย เพราะไม่มีทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกอีกโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยขอแบ่งมรดก คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 650และที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 406 ให้แก่โจทก์38 ส่วนใน 100 ส่วน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ขายนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ตามส่วน นับแต่นางเหนถึงแก่ความตายจนถึงวันยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยนำเอายางไปขายนำเงินเป็นรายได้ของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ไม่เคยแบ่งปันให้แก่โจทก์ผู้มีสิทธิได้ครึ่งหนึ่งก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวหลายครั้งแล้วก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 652,860 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การรับฟังได้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกขอแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกและศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยแบ่งที่ดินแก่โจทก์38 ส่วนใน 100 ส่วน โดยที่ดินดังกล่าวเป็นสวนยางพารามีรายได้จากการกรีดยางตั้งแต่ขณะโจทก์ฟ้องคดีก่อนซึ่งจำเลยได้เอาไว้เป็นประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 499/2538 ของศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า รายได้จากการกรีดยางที่ได้มาหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้วมิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดกแต่เป็นดอกผลของที่ดินทรัพย์มรดกตกได้แก่เจ้าของที่ดินตามสัดส่วนแห่งความเป็นเจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 และ 1360 โจทก์ทราบดีว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำน้ำยางไปจำหน่ายหารายได้ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบรายได้จากการกรีดยางดังกล่าวแก่โจทก์เสียในคราวเดียวกัน แต่กลับมาฟ้องเรียกร้องเป็นคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งรายได้จากการกรีดยางแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งฐานลาภมิควรได้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องได้ชัดเจนว่าจำเลยในฐานะทายาทผู้จัดการมรดกของนางเหน รองวัง มีหน้าที่ต้องแบ่งยางพาราแผ่นหรือเงินที่ได้จากการขายยางพาราแผ่นในส่วนของโจทก์แก่โจทก์ นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายจนถึงวันฟ้อง ซึ่งเป็นการฟ้องขอแบ่งดอกผลอันเกิดจากทรัพย์มรดกฎีกาโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเข้าไปกรีดยางภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องคดีก่อนไปแล้ว จึงเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนนั้น ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกาโจทก์ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้”

พิพากษายืน

Share