แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อฟ้องของโจทก์ยืนยันว่าโจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทหาได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่นใดเหนือที่พิพาทขึ้นสนับสนุนอีกไม่ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาทนั้นไม่ใช่ของโจทก์เป็นของกรมชลประทานโดยเจ้าของเดิมแบ่งยกให้กรมชลประทานไปแล้วก่อนโอนขายให้โจทก์ ดังนี้ตามฟ้องและคำรับของโจทก์ย่อมแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่พิพาททั้งสิ้น (รวมทั้งสิทธิให้เช่า) เมื่อตนไม่มีสิทธิใด ๆ แล้ว จะอ้างว่าสัญญาเช่าปิดปากผู้เช่ามิให้โต้เถียงสิทธิของผู้ให้เช่านั้นก็ไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2498)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจทั่วไปจาก น.ส.หรั่งกุ่น เจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๖๘๔,๖๘๖,๑๗๗๗ ตำบลโคกแฝด จังหวัดพระนคร จำเลยทั้ง ๔ ได้ร่วมกันทำสัญญาเช่านาจากโจทก์เพื่อทำนา ครบกำหนดเช่าแล้วจำเลยได้เช่าต่ออีกมีกำหนด ๑ ปี โดยอาศัยสัญญาเช่าฉบับเดิม จำเลยกลับไปทำไร่อ้อย ไร่สัปรส และพืชอื่น ๆ ไม่ทำนาและจำเลยที่ ๑ ยังปลูกบ้านลงในที่ดินที่เช่าโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์เสียหาย ๒,๐๐๐ บาท โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่นา ฯลฯ
จำเลยทั้ง ๔ ต่อสู้ว่าใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่สมบูรณ์ โจทก์มิได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการอำเภอวินิจฉัยเสียก่อน ตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า พ.ศ. ๒๔๙๓ ที่พิพาทเดิมเป็นของ น.ส.แดง จำเลยเช่าและปลูกเรือนอยู่อาศัย ๗ ปีแล้ว โจทก์เพิ่งรับโอนมาได้ ๓ ปี และคงให้จำเลยเช่าปลูกบ้านอยู่ต่อมาเช่นเดิม จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่าอนึ่งที่ดินตรงที่จำเลยเช่าอยู่นี้ถูกตัดออกจากโฉนดของโจทก์ เป็นที่ดินของกรมชลประทานไปแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่เคยค้างค่าเช่า โจทก์ไม่เสียหาย
ก่อนสืบพยาน จำเลยยอมรับว่าใบมอบอำนาจของโจทก์สมบูรณ์ไม่ติดใจค้าน โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบเรื่องค่าเสียหาย และยอมรับว่าที่ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในคดีนี้ทั้งหมดอยู่ในเขตของกรมชลประทานตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ ครั้งยังเป็นที่ของนางแดงก่อนโอนมาเป็นของโจทก์ จำเลยร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิหรือสิทธิประการใดในที่พิพาท เพราะตกเป็นที่ของกรมชลประทานก่อนโอนมาเป็นของโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนแม้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิก็เป็นผู้ให้เช่าได้ และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตามสัญญานั้น พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินที่พิพาทรวมอยู่ในโฉนดที่ ๖๘๖ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิของนางแดง ต่อมานางแดงได้แบ่งที่ด้านริมคลองให้กรมชลประทานไป คงเหลืออีก ๖๕ ไร่ ๕๒ วา ต่อมานางแดงขายส่วนที่เหลือให้แก่ น.ส.หรั่งกุ่น โจทก์ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้ง ๔ ได้ทำสัญญาเช่าต่อกันตามสำเนาท้ายฟ้องมีข้อความว่าจำเลยเช่านาของโจทก์เฉพาะด้านริมคลอง ปรากฎว่าที่ที่ตกลงเช่ากันนี้ทั้งหมดเป็นที่ของกรมชลประทาน หาใช่ที่ดินของโจทก์ไม่
โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้สัญญาเช่าระบุว่าเช่าที่นาของโจทก์ และฟ้องของโจทก์ก็ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากที่นาของโจทก์ตามฟ้องของโจทก์หาได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่นใดขึ้นสนับสนุนอีกไม่ เป็นการยืนยันแสดงสิทธิของโจทก์โดยตรงแต่อย่างเดียวว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่นารายพิพาทและมีอำนาจให้เช่าได้เพราะเหตุนั้น บัดนี้โจทก์กลับยอมรับว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ของโจทก์ดังฟ้องแต่เป็นของกรมชลประทานโดยเจ้าของเดิมได้แยกโฉนดแบ่งยกให้กรมชลประทานไปแล้วก่อนโอนขายให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอันใดเหนือที่ดินรายนี้ ตลอดจนการให้เช่าทั้งมวล
ที่โจทก์โต้แย้งว่าสัญญาเช่าปิดปากผู้เช่ามิให้โต้เถียงสิทธิของผู้ให้เช่านั้น เห็นว่าเรื่องนี้โจทก์รับเองว่าไม่ใช่เจ้าของที่ดินรายนี้ และไม่มีสิทธิอันใดดังฟ้องที่ตนเสนอขึ้นมา จึงไม่ใช่เรื่องกฎหมายปิดปาก
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์