คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8707/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สำเนาสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังจะมิใช่หลักฐานโดยตรงในเรื่องการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ถือเป็นพยานสำคัญในการชั่งน้ำหนักพยานโจทก์ แล้วนำไปเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เช่าที่นาของโจทก์ ปัญหาเรื่องการรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวหรือไม่ นับว่ามีผลต่อรูปคดี อย่างมาก เพราะอาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอีก
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) บัญญัติ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยาน หลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าภาพถ่ายสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังโดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลย เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะนำข้อเท็จจริงไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายโค กระบือและทรัพย์สินอื่นพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะ ขนย้ายโค กระบือและทรัพย์สินอื่นพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์เพื่อทำนา ไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าจำเลยทำนาและชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์มาทุกฤดูกาลเช่า จึงได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ โจทก์จึงไม่มีอำนาจบอกเลิกการเช่ากับจำเลย และไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายโค กระบือและทรัพย์สินอื่นพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายโค กระบือและ ทรัพย์สินอื่น พร้อมบริวารออกไป และส่งมอบที่ดินแก่โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย ให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๔ ปัจจุบันจำเลยย้ายไปเลี้ยงโค กระบือ และปลูกข้าวในที่ดินของโจทก์ ระหว่างพิจารณาคดีนี้โจทก์อ้างเอกสารสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับ อ. ตามเอกสารหมาย จ.๓ โดยที่โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้จำเลยล่วงหน้าก่อนวันสืบพยาน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งไม่มีการส่งสำเนาเช่นว่านั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า แม้สำเนาสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลภายหลังจะมิใช้หลักฐานโดยตรงในเรื่องการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ถือเป็นพยานสำคัญในการชั่งน้ำหนักพยานโจทก์แล้วนำไปเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เป็นผู้เช่าที่นา ของโจทก์ ดังนั้น ปัญหาเรื่องการรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวหรือไม่ นับว่ามีผลต่อรูปคดีอย่างมากเพราะอาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้จึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหานี้ว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรร์พิจารณาพิพากษาอีก
ปัญหาข้อกฎหมายที่วินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นรับฟังภาพถ่ายสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลัง โดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๗ บัญญัติว่า ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่ (๒) คู่ความที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๘๘ และ ๙๐ แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้น เห็นว่า ภาพถ่ายสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญ ที่จะนำข้อเท็จจริงไปสู่การวินิจฉัย ประเด็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวมาแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียม ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ .

Share