แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน 9.247 กิโลกรัม อันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส. แล้วพา ส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขาย ส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
ย่อยาว
่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ หนัก ๙.๒๔๗ กิโลกรัมไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวนดังกล่าวให้แก่นายสุรชัย จันทรรังสรรค์ โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยเฮโรอีนจำนวนดังกล่าว และรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๘ ค – ๕๓๐๖ กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้เป็นยานพาหนะบรรทุกเฮโรอีนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕, ๖๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสอง ฐานร่วมกันมีเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้ตลอดชีวิต ริบเฮโรอีนของกลาง ส่วนรถยนต์มาสด้า ๖๒๖หมายเลขทะเบียน ๘ค – ๕๓๐๖ นั้นปรากฏว่าเจ้าของมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองควรมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนของกลางอีกกระทงหนึ่ง และควรสั่งริบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๘ค – ๕๓๐๖ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำความผิดเสียด้วย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีและตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่นายสุรชัยซึ่งล่อซื้อ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสอง แต่ไม่มีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกรรมหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเฮโรอีนที่มีและจำหน่ายโดยการตกลงขายแก่นายสุรชัยนั้นเป็นเฮโรอีนจำนวนเดียวกัน จำเลยได้ตกลงขายหมดแล้วและศาลชั้นต้นคืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของชอบแล้ว พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำนวน ๙.๒๔๗ กิโลกรัมของกลาง อันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัม ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนของกลางนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ได้ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่นายสุรชัยเจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจากนายสุรชัยที่บริเวณลานจอดรถที่โรงพยาบาลราชวิถี แล้วจำเลยที่ ๑ พานายสุรชัยนำรถไปเอาเฮโรอีนในรถซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดท้ายรถให้นายสุรชัยตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขาย นายสุรชัยตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ ๑ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ ๑ มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่๑ จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ ๑ จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้อง และศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยแก้ไขถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสอง อีกบทหนึ่งด้วย แต่ให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.