แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความท้ากันว่า. ถ้าจำเลยนำหนังสือซื้อขายที่ดินหรือสำเนาที่อำเภอรับรองมาจากอำเภอได้. โจทก์ยอมแพ้. ถ้าไม่มีหนังสือดังกล่าวที่พิพาทตกเป็นของโจทก์. เมื่ออำเภอมีหนังสือแจ้งมาว่าค้นไม่พบ. คู่ความท้ากันใหม่ว่าให้ศาลเอาหนังสือตอบนี้ไปประกอบกับคำท้าเดิมแล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทจะเป็นของฝ่ายใด. ศาลวินิจฉัยว่าตามหนังสือตอบของอำเภอฟังไม่ถนัดว่ามีหนังสือซื้อขายที่พิพาทหรือไม่. จึงชี้ขาดให้แพ้ชนะกันตามคำท้าไม่ได้. เมื่อต่างแถลงไม่สืบพยานคดีนี้ หน้าที่นำสืบตกแก่โจทก์ โจทก์จึงต้องแพ้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนโดยอ้างว่าให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยจำเลยสู้ว่าโจทก์ขายให้จำเลยแล้ว คู่ความท้ากันว่าถ้าจำเลยนำหนังสือซื้อขายที่พิพาทจากที่ว่าการอำเภอมาได้จะเป็นต้นฉบับหรือสำเนาที่ทางอำเภอรับรองก็ตาม โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่มีหนังสือดังกล่าวก็ให้ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ ศาลได้มีหมายเรียกเอกสารดังกล่าวไปนายอำเภอมีหนังสือตอบมาความว่า ค้นหาไม่พบ เข้าใจว่าเมื่อเปลี่ยนประมวลกฎหมายที่ดินใหม่แล้วจึงไม่เก็บรักษาไว้คู่ความจึงแถลงร่วมกันขอให้ศาลสืบพยาน ต่อมาคู่ความท้ากันใหม่ว่าให้ศาลวินิจฉัยคำท้าเดิมกับหนังสือของนายอำเภอดังกล่าวว่าที่ดินพิพาทจะตกเป็นของฝ่ายใด คู่ความสละประเด็นอื่นทั้งหมดและไม่ขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือของนายอำเภอดังกล่าวฟังไม่ถนัดว่าหนังสือสัญญาซื้อขายมีหรือไม่ จะชี้ขาดให้ฝ่ายใดชนะไม่ได้ต้องวินิจฉัยคดีตามท้องสำนวน เมื่อคู่ความต่างแถลงไม่สืบพยานคดีนี้โจทก์โจทก์มีหน้าที่นำสืบ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างโจทก์จึงต้องแพ้ พิพากษายืน.