คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1895/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ได้รับสัมปทานเดินรถ แล้วให้จำเลยที่ 2 นำรถยนต์เข้าร่วมเดิน ทาสีบอกเครื่องหมายเหมือนรถของจำเลยที่ 3 คนขับและคนขายตั๋วก็แต่งตัวเหมือนพนักงานของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ควบคุมการเดินรถของจำเลยที่ 2 เช่นเดียวกับรถของจำเลยที่ 3 และได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ค่าขายตั๋วเป็นค่าบริการของจำเลยที่ 3 เช่นนี้ ถือได้ว่าการเดินรถคันเกิดเหตุเป็นกิจการของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยในเหตุละเมิดที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ก่อขึ้นตามทางการที่จ้าง (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 841/2510)
ผลของการละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย โดยทุพพลภาพตลอดชีวิต โจทก์จึงเรียกค่าการที่เสียความสามารประกอบงานอาชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 โจทก์จึงเรียกได้ทั้งสองประการ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑เป็นบุตรจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ นำรถยนต์เข้าร่วมบริการรับจ้างคนโดยสารอยู่ในบริษัทจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขับรถโดยประมาทชนโจทก์บาดเจ็บ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ฯลฯ
จำเลยที่ ๓ ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเอง ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ๖๘,๖๒๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยที่ ๓ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๓ ให้รับสัมปทานเดินรถ แล้วให้จำเลยที่ ๒ นำรถยนต์เข้าร่วมเดิน ทาสีบอกเครื่องหมายเหมือนรถของจำเลยที่ ๓ คนขับและคนขายตั๋วก็แต่งตัวเหมือนพนักงานของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ควบคุมการเดินรถของจำเลยที่ ๒ เช่นเดียวกับรถของจำเลยที่ ๓ และได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ค่าขายตั๋วเป็นค่าบริการของจำเลยที่ ๓ เช่นนี้ ถือได้ว่าการเดินรถคันเกิดเหตุเป็นกิจการของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยในเหตุละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ก่อขึ้นตามทางการที่จ้าง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๑/๒๕๑๐ จำเลยที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดชอบกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต่อโจทก์ในผลความเสียหายทั้งสิ้นที่โจทก์ได้รับซึ่งหมายความว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดในค่าเสียหายของโจทก์สิ้นเชิง มิใช่แบ่งกันรับผิดดังที่จำเลยที่ ๓ ฎีกา
จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า โจทก์ได้รับค่าเสียที่ต้องขาดประโยชน์ ไม่สามารถประกอบอาชีพอยู่แล้ว จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบาดเจ็บทุพพลภาพตลอดชีวิต เพราะเป็นค่าเสียหายซ้ำกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ผลของการละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย โดยทุพพลภาพตลอดชีวิต และทำให้ไม่สามารถประกอบงานอาชีพได้ตลอดชีวิตอีกด้วย โจทก์จึงเรียกค่าการที่เสียความสามารประกอบงานอาชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๔ และความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายได้ทั้งสองประการ ไม่ซ้ำกัน
พิพากษายืน

Share