แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น อาจขู่ตรง ๆ หรือใช้ถ้อยคำ ทำกิริยา หรือทำประการใดให้เข้าใจได้เช่นนั้น เป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะรับภัยจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญการที่จำเลยกับพวกบังคับเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหาย โดย ม. พวกของจำเลยทำท่าทางเหมือนจะชักอาวุธออกมาโดยล้วงเข้าไปในเสื้อบริเวณเอว แม้มิได้ใช้กำลังประทุษร้าย มิได้ใช้อาวุธมาขู่บังคับหรือพูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก็ตาม แต่กิริยาท่าทีของ ม. ดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจำเลยกับพวกจะใช้กำลังประทุษร้ายจึงต้องจำยอมให้โทรศัพท์เคลื่อนที่แก่จำเลยกับพวกไป การกระทำของจำเลยกับพวกครบองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว
ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุไม่เกิน 20 ปี และกระทำผิดโดยมิได้ใช้อาวุธลักษณะเป็นการกระทำของวัยรุ่นที่คึกคะนอง ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาและชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 20,000 บาท ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ปรากฏว่าจำเลยเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ให้จำเลยคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโซนี่ อิริคสัน รุ่น W 620 I จำนวน 1 เครื่อง หรือหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาจำนวน 10,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโซนี่ อิริคสัน รุ่น W 610 I จำนวน 1 เครื่อง หรือหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาจำนวน 10,000 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาว่าจำเลยได้ใช้เงินค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 10,000 บาทแล้ว จึงให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ลดมาตราส่วนโทษแล้ว จำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปี และให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 18 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น อาจขู่ตรง ๆ หรือใช้ถ้อยคำ ทำกิริยา หรือทำประการใดให้เข้าใจได้เช่นนั้น เป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะได้รับภัยจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ การที่จำเลยกับพวกบังคับเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายโดยนายมาทฐวุฒิพวกของจำเลยทำท่าทางเหมือนจะชักอาวุธออกมาโดยล้วงเข้าไปในเสื้อบริเวณเอว แม้มิได้ใช้กำลังประทุษร้าย มิได้ใช้อาวุธมาขู่บังคับหรือพูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก็ตาม แต่กิริยาท่าทีของนายมาทฐวุฒิที่ทำท่าทางเหมือนกับจะชักอาวุธออกมานั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการขู่บังคับ ประกอบกับผู้เสียหายเบิกความว่าเหตุที่มอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้นายมาทฐวุฒิ เพราะเกรงว่าจะถูกทำร้าย อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจำเลยกับพวกจะใช้กำลังประทุษร้าย จึงต้องจำยอมให้โทรศัพท์เคลื่อนที่แก่จำเลยกับพวกไป การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวครบองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามจำเลยกระทำความผิดในขณะอายุไม่เกิน 20 ปี และร่วมกระทำความผิดโดยเพียงแต่ร่วมกันบังคับเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไป โดยจำเลยกับพวกมิได้ใช้อาวุธมาขู่บังคับ และจำเลยมิได้เป็นผู้พูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย พฤติการณ์แห่งความผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนัก ลักษณะเป็นการกระทำของวัยรุ่นที่คึกคะนอง ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาแสดงว่ารู้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำ ทั้งได้มอบเงินจำนวน 20,000 บาท ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยแล้ว นับว่าจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำของตน ทั้งปรากฏตามใบรับรองสภาพการเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงว่าจำเลยกำลังศึกษาเล่าเรียน ประกอบกับจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 15,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ให้จำเลยละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์