คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8626/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความตามรายงานกระบวนพิจารณาระบุว่า คู่ความแถลงร่วมกันว่าคดีสามารถตกลงกันได้โดยโจทก์และจำเลยตกลงจะไปหย่าขาดจากกัน โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ขอถอนคำฟ้องในประเด็นทั้งสองดังกล่าว คงเหลือประเด็นสินสมรสและค่าอุปการะเลี้ยงดู จำเลยไม่ค้าน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้อง ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันในประเด็นหย่าและอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่เหลือให้ศาลวินิจฉัยตามรูปคดี กรณีมิใช่ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 และ 176 ซึ่งศาลต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรา 132 เมื่อศาลดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นที่เหลือแล้วจึงต้องมีคำพิพากษาตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องแย้งโดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฟ้องแย้งเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 และ 167 วรรคหนึ่ง เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ญ. บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยนำรถกระบะหมายเลขทะเบียน สฏ 5912 กรุงเทพมหานคร ออกขายแบ่งเงินให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถกระทำได้ให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์แทน และให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ญ. บุตรผู้เยาว์ในอัตราเดือนละ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 60 เดือน โดยโจทก์ขอคิดเพียง 200,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้มีคำพิพากษาให้นำทรัพย์สินและหนี้สินที่ได้มาในระหว่างสมรสแบ่งให้โจทก์กับจำเลยคนกึ่งหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงร่วมกันว่า คดีสามารถตกลงกันได้โดยโจทก์กับจำเลยตกลงจะไปหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ญ.บุตรผู้เยาว์แต่ผู้เดียว โจทก์ขอถอนคำฟ้องในประเด็นเรื่องฟ้องหย่าและขอใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว คงเหลือประเด็นข้อพิพาทเฉพาะเรื่องสินสมรสและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 25,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ญ บุตรผู้เยาว์ ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มีนาคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสและจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 26 กันยายน 2555 ระบุว่า คู่ความแถลงร่วมกันว่าคดีสามารถตกลงกันได้โดยโจทก์และจำเลยตกลงจะไปหย่าขาดจากกัน โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ญ. บุตรผู้เยาว์เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ขอถอนคำฟ้องในประเด็นทั้งสองดังกล่าว คงเหลือประเด็นสินสมรสและค่าอุปการะเลี้ยงดู จำเลยไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องในประเด็นดังกล่าวได้ หลังจากนั้นมีการดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษา เช่นนี้ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า การขอถอนคำฟ้องในประเด็นข้อพิพาทบางข้อกระทำได้หรือไม่ เห็นว่า การขอถอนคำฟ้องโจทก์ต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลอนุญาตย่อมมีผลให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 และ 176 และศาลต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรา 132 เมื่อพิจารณาข้อความตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวแล้ว ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันได้โดยทั้งสองฝ่ายยอมจดทะเบียนหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ญ. เพียงฝ่ายเดียว ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่เหลือให้ศาลวินิจฉัยไปตามรูปคดี ซึ่งศาลต้องมีคำพิพากษาตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำพิพากษาถึงข้อตกลงดังกล่าวไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำพิพากษาแก้ไขในส่วนนี้
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้แบ่งทรัพย์สินและหนี้สินให้โจทก์รับผิดด้วยกึ่งหนึ่งนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยบรรยายฟ้องแย้งแต่เพียงว่ามีทรัพย์สินเป็นบ้านและที่ดินที่จังหวัดพิจิตรและกรุงเทพมหานคร กับหนี้สินในระหว่างเป็นสามีภริยากันหลายรายการซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามิได้มีรายละเอียดว่าเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สินอะไรบ้าง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องแย้ง ให้แบ่งสินสมรสและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นชอบแล้ว ส่วนฎีกาข้ออื่นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยยกฟ้องแย้งของจำเลย แต่มิได้มีคำพิพากษายกฟ้องแย้งทั้งศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฟ้องแย้งเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และ 167 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเรื่องหย่าและผู้ใช้อำนาจปกครอง ให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ญ. บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 3,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share