แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๖ จำนองที่ดินเป็นประกัน จำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยทั้งหกขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ขาดนัดพิจารณา ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๖ ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ ๖ มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขออนุญาตยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เหตุผลตามคำร้องไม่แสดงว่าจำเลยที่ ๖ มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้อง แล้วนัดสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จ
ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยที่ ๖ ขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นการประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยที่๖ แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง
ต่อมาวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๖ ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๖มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอให้ไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยานของจำเลยที่ ๖ โดยเหตุที่ประวิงคดีมิใช่สั่งให้จำเลยที่ ๖ ขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๖ จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๖ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวอ้างว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ ๖ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุ ๒ ประการคือ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาประการหนึ่ง และมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การอีกประการหนึ่ง สำหรับประการหลังนี้เป็นการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งแต่ประการใด คำสั่งลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย และสั่งไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ ๖ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๑(๔) แล้วมีคำสั่งใหม่
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การแล้วจำเลยที่ ๖ ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องตามคำร้องและคำสั่งลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖ คำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๖ มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๖ มิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้วพิพากษายืน
จำเลยที่ ๖ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคดีได้ความว่า ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อวันที่ ๑๐พฤษภาคม ๒๕๒๖ แล้วต่อมาวันที่ ๒๔ เดือนเดียวกัน อันเป็นวันก่อนเริ่มสืบพยาน จำเลยที่ ๖ ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จึงเป็นคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ วรรคสอง และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยที่ ๖ มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ ส่วนที่จำเลยที่ ๖ ฎีกาขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้น เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยที่ ๖ มิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา ๒๐๗
พิพากษายืน.