คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 11,106 บาท 24 สตางค์ แต่ในจำนวนเงินดังกล่าว 700 บาท จำเลยไม่ต้องชดใช้ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาในเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน 11,106 บาท 24 สตางค์จึงยุติ ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ จำนวนเงิน 1,000 บาท และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยใช้เงิน 12,106 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามและฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เคยเป็นพนักงานการเงินของโจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้เบิกเงินเดือนเกินไปยังไม่ได้ชำระคืน ๗๐๐ บาท เก็บเงินแล้วไม่นำส่งโจทก์ ๑๑,๑๖๘ บาท ๕๔ สตางค์ และจ่ายเงินคืนผู้เอาประกันเกินไปแล้วไม่เรียกคืนส่งโจทก์ ๑,๐๐๐ บาท รวมเงินที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ๑๒,๘๖๘ บาท ๕๔ สตางค์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่าหนี้ตามฟ้องเป็นเท็จ โจทก์ฟ้องจำเลยอาศัยมูลละเมิดเกิน ๑ ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เงินที่จำเลยคืนผู้เอาประกัน ๑,๐๐๐ บาท กับเงินเบี้ยประกันตามเอกสารหมาย จ.๑๒ จ.๑๖ จำเลยไม่ต้องรับผิด เงินจำนวนนอกจากนั้น ๑๑,๑๐๖ บาท ๒๔ สตางค์ จำเลยยังไม่ได้นำเข้าบัญชีโจทก์ เงินจำนวนดังกล่าวเว้นเงินเดือนที่เบิกเกินไป ๗๐๐ บาทขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๗๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นอกจากจำเลยต้องรับผิดเงินจำนวน ๑๑,๑๐๖ บาท ๒๔ สตางค์ ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จำเลยต้องรับผิดในเงินจ่ายคืนผู้เอาประกันจำนวน ๑,๐๐๐ บาทแก่โจทก์อีกด้วย คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ ๑๒,๑๐๖ บาท ๒๔ สตางค์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ในเงินจำนวน ๑๑,๑๐๖ บาท ๒๔ สตางค์ แต่เงินจำนวนดังกล่าวเว้นแต่เงินเดือนเบิกเกิน ๗๐๐ บาท จำเลยไม่จำต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน ๑๑,๑๐๖ บาท ๒๔ สตางค์จึงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มอีก ๑ รายการจำนวน ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้น และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยโต้แย้งไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาทเป็นฎีกาข้อเท็จจริงและฎีกาในข้อไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวนตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ก็เป็นฎีกาคำวินิจฉัยซึ่งยุติไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ ใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้จำเลยที่ ๑ พนักงานการเงินของโจทก์ได้จ่ายเงินคืนทุนประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยขาดไปเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท และลงบัญชีว่าจ่ายไปครบถ้วนแล้ว โจทก์เรียกเงิน ๑,๐๐๐ บาทที่ยังไม่ได้จ่ายไปให้ครบถ้วนนั้นคืนจากจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่คืนให้ กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ จึงนำอายุความตามมาตรา ๔๔๘ มาใช้บังคับกรณีนี้ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share