คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลย่อมทำให้เสียประโยชน์คือ ไม่มีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วหรือคัดค้านการระบุเอกสารหรือคัดค้านคำขอที่ให้ศาลไปทำการตรวจหรือตั้งผู้เชี่ยวชาญของศาลเฉพาะในวันที่ขาดนัดไม่มาศาลเท่านั้น และหากว่าโจทก์สืบพยานหมดในวันนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้ในวันหลังอีกเพราะหมดเวลาที่ตนจะนำพยานเข้าสืบแล้ว เมื่อปรากฏว่าในวันนัดแรกโจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนได้นำตัวโจทก์เข้าเบิกความเพียงปากเดียว การสืบพยานยังไม่เสร็จบริบูรณ์ แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป จำเลยจึงไม่มีสิทธิถามค้านพยานปากตัวโจทก์เท่านั้น ส่วนในนัดต่อไปจำเลยมาศาล จำเลยชอบที่จะถามค้านพยานโจทก์ที่เบิกความในนัดต่อมาได้และนำพยานจำเลยเข้าเบิกความได้เพราะยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยถามค้านพยานโจทก์ที่นำสืบในนัดต่อมา ทั้งนำพยานจำเลยเข้าเบิกความจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 คู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน แต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อมาตรา 88 คือไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามมาตรา 87(2) การที่จำเลยร่วมไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ 3 วัน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยร่วมว่าความด้วยตนเอง จึงใช้ดุลพินิจให้จำเลยร่วมนำพยานเข้าสืบได้ถึงแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า1 แปลง จำเลยได้อาศัยโจทก์ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยสัญญาว่าจะออกไปภายในกำหนด แต่จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่พิพาทและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยได้มาโดยเสียค่าตอบแทนจากบุคคลภายนอก ได้ครอบครองมาด้วยความสงบและเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานับ 10 ปี จำเลยไม่เคยอาศัยสิทธิโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมโดยมีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็นหลักฐานคือ ใบเหยียบย่ำที่ดินเล่ม 1 หน้า 25สารบบเล่ม 3 ก. หน้า 36
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 20 พฤษภาคม 2528 ทนายจำเลยได้มอบอำนาจให้เสมียนทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนการสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์ต่อไป จึงมีผลเท่ากับให้จำเลยขาดนัดพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นสืบนายดัด กองจอหอ พยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว จำเลยจึงไม่มีสิทธิสืบพยานหักล้างตัวโจทก์ซึ่งเบิกความไปแล้วได้ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังตามคำเบิกความของโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้ว และศาลเห็นว่าการขาดนัดนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร ให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ ถ้าจำเลยที่ขาดพิจารณานั้น ขาดนัดยื่นคำให้การด้วยให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 199
ในกรณีที่ได้บัญญัติไว้ในวรรคก่อนนี้ ถ้าศาลเห็นว่าการขาดนัดนั้นเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควร ก็ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไป แต่
(1) ห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้คู่ความที่ขาดนัดนำพยานเข้าสืบถ้าคู่ความนั้นมาศาลเมื่อพ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว
(2) ถ้าคู่ความที่ขาดนัดมาศาล เมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบไปแล้ว ห้ามไม่ให้ศาลยอมให้คู่ความที่ขาดนัดคัดค้านพยานหลักฐานเช่นว่านั้นโดยวิธีถามค้านพยานของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้สืบไปแล้ว หรือโดยวิธีคัดค้านการระบุเอกสารหรือคัดค้านคำขอที่ให้ศาลไปทำการตรวจหรือให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญของศาล แต่ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนำพยานหลักฐานเข้าสืบยังไม่บริบูรณ์ ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความที่ขาดนัดหักล้างได้แต่เฉพาะพยานหลักฐานที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาล
(3)…..”ดังนี้จะเห็นได้ว่า การที่จำเลยขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลย่อมทำให้เสียประโยชน์คือไม่มีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วหรือคัดค้านการระบุเอกสารหรือคัดค้านคำขอที่ให้ศาลไปทำการตรวจหรือตั้งผู้เชี่ยวชาญของศาลเฉพาะในวันที่ขาดนัดไม่มาศาลเท่านั้นและหากว่าโจทก์สืบพยานหมดในวันนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้ในวันหลังอีกเพราะหมดเวลาที่ตนจะนำพยานเข้าสืบแล้วแต่ในคดีนี้ปรากฏว่าในวันนัดแรก โจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนได้นำนายดัดโจทก์เข้าเบิกความเพียงปากเดียว การสืบพยานยังไม่เสร็จบริบูรณ์ แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปจำเลยจึงไม่มีสิทธิถามค้านพยานปากนายดัดเท่านั้น ส่วนในนัดต่อไปจำเลยมาศาล จำเลยชอบที่จะถามค้านพยานโจทก์ที่เบิกความในนัดต่อมาได้และนำพยานจำเลยเข้าเบิกความได้เพราะยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยถามค้านพยานโจทก์ที่นำสืบในนัดต่อมา ทั้งนำพยานจำเลยเข้าเบิกความจึงชอบด้วยกฎหมายแล้วโจทก์ฎีกาอีกประการหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยร่วมนำพยานเข้าสืบโดยไม่ได้ระบุพยานเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่
(1) ……
(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้” จะเห็นได้ว่าตามมาตรา 88 คู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน และหากอ้างอิงพยานเอกสารต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้า ก่อนวันสืบพยาน 3 วัน แต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่ออนุมาตรานี้คือไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน หรือไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยาน 3 วัน ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ คดีนี้จำเลยร่วมไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ 3 วัน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยร่วมว่าความด้วยตนเอง จึงใช้ดุลพินิจให้จำเลยร่วมนำพยานเข้าสืบได้ถึงแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อกฎหมายทั้งสองประการดังกล่าวนี้แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยอีก
ประการสุดท้าย ปัญหาว่าที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครองหรือไม่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองขอน หมู่ที่ 11 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา โจทก์มีสิทธิครอบครอง ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลย จำเลยร่วมและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 5,000บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะได้ออกไปจากที่พิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย

Share