คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5007/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนหน้าคดีนี้จำเลยเคยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้นให้โจทก์โอนแก่จำเลยโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยและคดีถึงที่สุด แม้จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาจนถึงโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่ผลของคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาก่อนนั้นยังคงผูกพันจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย ฉะนั้น การครอบครองของจำเลยนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษามาจึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั่นเอง จำเลยจะเปลี่ยนแปลงอ้างเหตุได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือแทนโจทก์อีกต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีการแสดงเจตนาดังกล่าวให้โจทก์ทราบ จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุแห่งอายุความตามที่จำเลยให้การมายันโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คดีก่อนจำเลยได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 863/2531 หมายเลขแดงที่ 392/2532 ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้จำเลย หากโจทก์ไม่สามารถโอนให้จำเลยได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นไปตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่ในที่ดินต่อไป ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินบางส่วนให้แก่จำเลย ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 6 พฤศจิกายน 2534 คดีถึงที่สุดแล้ว แต่วันที่ 7 ธันวาคม 2534 จำเลยครอบครองทำประโยชน์ปลูกบ้านและปลูกไม้ผลยืนต้นในที่ดินที่จำเลยอยู่อาศัยจำเลยมีเจตนาครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2534 อย่างเป็นเจ้าของโดยแย่งการครอบครองจากโจทก์ตั้งแต่วันดังกล่าวตลอดเรื่อยมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จำเลยจึงมีสิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 21 หน้า 137 สารบบเลขที่ 21 ตำบลดอนรวก อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาจำเลยประการต่อมาที่ว่า จำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์เกินหนึ่งปี จึงได้สิทธิครอบครองตามอายุความแห่งกฎหมายแล้วหรือไม่ จำเลยอ้างมาในฎีกาด้วยว่าคำให้การของจำเลยข้อ 4 ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ปลูกบ้านและผลไม้ยืนต้นในที่ดินที่จำเลยอยู่อาศัย จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2534 โดยจำเลยครอบครองที่ดินโจทก์โดยเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกิน 1 ปีนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการครอบครองของจำเลย ให้โจทก์เห็นว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะการครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนให้โจทก์ทราบ จำเลยจึงย่อมได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโดยไม่ให้โอกาสและรับฟังพยานหลักฐานจากคู่กรณีจึงเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุที่จำเลยอ้างถึงการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามคำให้การของจำเลยมานั้น สืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยเคยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้นให้โจทก์โอนแก่จำเลย ซึ่งจำเลยได้อยู่อาศัยมาก่อนโดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องจำเลยและคดีถึงที่สุด แม้จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาจนถึงโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่ผลของคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาก่อนนั้นยังคงผูกพันจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุด ซึ่งฟังได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอยู่ ฉะนั้น ในการครอบครองของจำเลยนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษามา จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั่นเอง เหตุที่ว่านี้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงอ้างเหตุได้ก็โดยจำเลยจะต้องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือการครอบครองแทนโจทก์ได้ ก็โดยจำเลยจะต้องแสดงเจตนาแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีการแสดงเจตนาดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ทราบ จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุแห่งอายุความตามที่จำเลยให้การมายันโจทก์ได้ การที่ศาลล่างมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share