แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฯลฯ เป็นการฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218มีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 และข้อ 2.2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 และฎีกาข้อ 2.3ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดดังฟ้องโจทก์หรือไม่ ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 196)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502มาตรา 4,11 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 4 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักกว่า จำคุก 5 ปี
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 194)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 196)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีหน้าที่รับชำระหนี้แทนองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำเลยรับเงินจากนายวีกิจเป็นการส่วนตัวเพื่อชำระค่าปรับให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แทนนายวีกิจ เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยกพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ชอบการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง