คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทแล้วโดยมีส. และพ.เป็นผู้ชำระบัญชีก็ตามแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1249บัญญัติให้ถือว่าบริษัทโจทก์ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีและตามมาตรา1252บัญญัติให้กรรมการบริษัทมีอำนาจโดยตำแหน่งเดิมเมื่อเป็นผู้ชำระบัญชีก็ยังคงมีอำนาจอยู่ดังนั้นบุคคลทั้งสองซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทโจทก์และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ด้วยจึงยังคงมีอำนาจในตำแหน่งกรรมการของบริษัทโจทก์อยู่และมาตรา1259(1)บัญญัติให้ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจแก้ต่างว่าต่างในนามของบริษัทในอรรถคดีพิพาทอันเป็นแพ่งหรืออาญาทั้งปวงเมื่อผู้ชำระบัญชีและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกันดังนั้นที่บุคคลทั้งสองได้มอบอำนาจให้ก. ฟ้องคดีแทนโจทก์ผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ทินราชดำเนินคดีแทน โจทก์ประกอบกิจการโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเมื่อระหว่างต้นปี 2534 ถึงปลายปี 2534 จำเลยใช้บริการโรงแรมอาหาร คอฟฟี่ช็อพ ไนต์คลับ และบริการอื่น ๆ ของโจทก์ โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าบริการดังกล่าวเป็นเช็คของธนาคารสหธนาคารจำกัด สาขานครราชสีมา จำนวนเงิน 15,000 บาท ลงวันที่ 6 มกราคม2535 และเช็คธนาคารไทยทนุ จำกัด สาขาถนนประจักษ์ จำนวนเงิน310,000 บาท ลงวันที่ 14 มกราคม 2535 เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2535 และวันที่ 15 มกราคม 2535 ตามลำดับ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน325,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน325,000 บาท นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์เลิกบริษัทไปแล้วในปี 2534 ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ทินราชดำเนินคดีแทนโจทก์ จำเลยไม่ได้เป็นหนี้ค่าใช้บริการของโจทก์เช็คพิพาทตามฟ้องเป็นเช็คชำระหนี้เงินยืมซึ่งมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้ จำเลยเป็นหนี้ตามเช็คพิพาทเพียง 100,000 บาทเศษ เท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 325,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 15,000บาท นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2535 และดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันของต้นเงิน 310,000 บาท นับแต่วันที่ 15 มกราคม 2535 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 6 มกราคม 2536)ต้องไม่เกิน 24,375 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะบริษัทโจทก์ได้เลิกกันแล้ว กรรมการของโจทก์ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ทินราช ฟ้องคดี ข้อนี้โจทก์มีนายสมชาย พิพัฒน์อนันต์ และนายไพศาล อิทธิวิศวกุล กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทแล้ว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2534 โจทก์มีบุคคลทั้งสองเป็นผู้ชำระบัญชี ซึ่งจำเลยก็เบิกความรับในข้อนี้ เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 บัญญัติว่า “ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้วก็ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี” ดังนั้น จึงต้องถือว่าบริษัทโจทก์ยังคงตั้งอยู่ตราเท่าเวลาที่จำเป็นในการชำระบัญชีและตามมาตรา 1252 บัญญัติว่า “หุ้นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการบริษัทมีอำนาจโดยตำแหน่งเดิมฉันใด เมื่อเป็นผู้ชำระบัญชีก็ยังคงมีอำนาจอยู่ฉันนั้น” ดังนั้นบุคคลทั้งสองซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทโจทก์และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ด้วย จึงยังคงมีอำนาจในตำแหน่งกรรมการของบริษัทโจทก์อยู่ และมาตรา 1259(1) บัญญัติให้ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจแก้ต่างว่าต่างในนามของบริษัทในอรรถคดีพิพาทอันเป็นแพ่งหรืออาญาทั้งปวง เมื่อผู้ชำระบัญชีและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกัน ดังนั้นที่บุคคลทั้งสองได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ทินราช ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2ผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยฎีกาข้อสองว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทเพราะโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงมูลหนี้ของเช็คพิพาท คดีนี้โจทก์มีนายไพศาลและนายสมชายเบิกความว่า จำเลยได้เช่าอาคารโรงแรมของโจทก์ประกอบกิจการอาบอบนวด ในช่วงปี 2534 จำเลยติดค้างค่าเช่าอาคาร ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าภาษีและค่าบริการอื่น ๆ ของโจทก์เป็นเงิน 325,000 บาท จำเลยได้ออกเช็คพิพาทตามฟ้อง 2 ฉบับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยโจทก์มีสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง 2 ฉบับจำนวนเงิน 325,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.5 เป็นหลักฐานซึ่งจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ใช่เช็คของจำเลย จึงต้องฟังว่าจำเลยออกเช็คพิพาท 2 ฉบับให้โจทก์ตามฟ้องจริง เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสองฉบับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 จำเลยให้การว่า ไม่ได้เป็นหนี้ค่าบริการดังฟ้องโจทก์แต่เป็นเช็คชำระหนี้เงินยืมโดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจำเลยเบิกความว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คชำระเงินยืมและจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 100,000 บาท ซึ่งเป็นคำเบิกความลอย ๆไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาท 2 ฉบับ ตามฟ้องชำระหนี้ค่าเช่าอาคาร ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าภาษี และค่าบริการของโจทก์และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share