แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีมีประเด็นในชั้นบังคับคดีว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโดยครบถ้วนถูกต้องแล้วหรือไม่นั้น ศาลมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งได้เพราะเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา148(1) จำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภารจำยอมและถม ดิน ลงในลำกระโดง สาธารณะ ให้โจทก์ใช้แทนทางภารจำยอมเดิม บางส่วน เป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปตามป.พ.พ. มาตรา 1390 และเมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางภารจำยอมได้ตลอดไป โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำทางภารจำยอม และทำทางภารจำยอมให้อยู่ในสภาพที่โจทก์จะใช้ได้โดยสะดวกเหมือนเดิมได้.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสามยทรัพย์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินภารยทรัพย์ซึ่งมีเขตติดต่อที่ดินโจทก์ เจ้าของเดิมของที่ดินภารยทรัพย์ได้จดทะเบียนยอมให้เจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ใช้ส่วนหนึ่งของที่ดินภารยทรัพย์เป็นทางภาระจำยอมจากที่ดินโจทก์สู่ถนน ต่อมาจำเลยใช้รถแทรกเตอร์ไถดินปิดกั้นบริเวณประตูรั้วบ้านโจทก์ และตลอดแนวทางภาระจำยอมจนโจทก์ไม่สามารถใช้ทางภาระจำยอมได้ ขอให้บังคับจำเลยจัดการขนมูลดินออก และทำให้ทางภาระจำยอมอยู่ในสภาพเดิม และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ได้บูรณะเพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้ทางภาระจำยอมยิ่งขึ้น โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางภาระจำยอมได้ตลอดไป และยอมถมดินในทางภาระจำยอมจนชิดหน้าประตูรั้วบ้านโจทก์กว้าง 4 เมตรเพื่อให้เชื่อมกับที่ฝ่ายโจทก์ทำถนนจากที่ดินโจทก์ออกมาบรรจบกันโดยคู่ความจะถมดินให้เสร็จภายใน 7 วัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมเป็นการหลีกเลียงคำบังคับ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางภาระจำยอมได้โดยสะดวกทั้งทำให้เกิดน้ำท่วมขังบริเวณที่ดินโจทก์ เพราะไม่มีทางระบายน้ำออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ขอให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องอีกว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอมให้ผู้อื่นรวม 8 คน เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามคำบังคับและกำลังจะโอนตึกแถวที่ปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอมส่วนที่เหลือให้แก่ผู้อื่นอีกขอให้ไต่สวนโดยฉุกเฉินและสั่งเจ้าพนักงานที่ดินมิให้จดทะเบียนโอนที่ดิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งห้ามตามคำร้องของโจทก์
ต่อมาโจทก์แถลงว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ จำเลยแถลงว่าได้ปฏิบัติตามคำบังคับโดยครบถ้วนทุกประการแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ให้จำเลยรวมทั้งผู้ที่ซื้อหรือรับโอนตึกแถวรื้อถอนตึกแถวและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมด โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยและผู้ซื้อหรือผู้รับโอนตึกแถวบางห้องดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ให้โจทก์ขอคำสั่งศาล
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รื้อถอนตึกแถวและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้รับโอนตึกแถวและที่ดิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดีได้หรือไม่นั้น เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ทำหนังสือสัญญายกที่ดินสามยทรัพย์ให้นายศุภชัย ตามรภาค นายวีรวัฒน์ตามรภาค และนางพวงผกา ตามรภาค บุตรโจทก์และต่อมาบุตรโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับทางภาระจำยอมรายเดียวกันนี้ก็ตามสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับคดีนี้ต่อไป อันเป็นบุคคลสิทธิก็ยังคงมีอยู่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมคดีนี้โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ย่อมต้องผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรือให้งดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก เมื่อคดีได้ความว่า จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมให้ครบถ้วน และถูกต้องดังที่ปรากฏตามคำร้องของโจทก์ว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวปิดกั้นทางภาระจำยอม และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องอีกว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวที่ปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอมให้ผู้อื่นหลายราย และกำลังจะโอนขายอีกหลายห้อง และต่อมาโจทก์ก็ยังได้ยื่นคำร้องยืนยันอีกว่าจำเลบยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ทั้งจำเลยได้ยื่นคำแถลงคัดค้านและคัดค้านด้วยวาจาโต้แย้งคำร้องของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นชั้นบังคับคดีว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโดยครบถ้วนถูกต้องแล้วหรือไม่ ซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งอันเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(1) ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมจริงหรือไม่นั้นเชื่อว่า จำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมจนจดแนวเสาไฟฟ้าไม้ 3 ต้น และถมดินลงในลำกระโดงสาธารณะทางทิศตะวันออก ให้โจทก์ใช้แทนทางภาระจำยอมเดิมบางส่วนเป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 และเมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางภาระจำยอมได้ตลอดไป โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอม และทำทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพที่โจทก์จะให้ได้โดยสะดวกเหมือนเดิมได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.