คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10294/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคหนึ่ง การสืบพยานก่อนฟ้องคดีเป็นกรณีจำเป็นที่จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลไว้ก่อน เพราะหากรอจนมีการฟ้องคดีอาจเป็นการยากแก่การนำพยานบุคคลนั้นมาสืบในภายหน้าเพื่อพิสูจน์ความผิด ซึ่งบางกรณีอาจยังไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด กฎหมายจึงบัญญัติเพียงว่า ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิดและผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ก็ให้นำตัวมาศาลด้วย ดังนั้น หากไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดก็สามารถสืบพยานก่อนฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องนำตัวมาศาล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6, 52 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (2), 52 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 6 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2552 นายจักรพงษ์ กับนางสาวหรือนางดาวหรือบุญมี ซึ่งเป็นสามีภริยากัน พานาง พ. อายุ 17 ปี ผู้เสียหายซึ่งเป็นบุคคลเชื้อชาติลาว สัญชาติลาว เดินทางจากตลาดชุมชนช่องเม็ก อำเภอช่องเม็กจังหวัดอุบลราชธานี ไปที่ร้านลาบเป็ดหนองคาย ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรีมีจำเลยซึ่งมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่านางจ๋าเป็นเจ้าของร้าน ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ที่ร้านดังกล่าวต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2552 นาง ล. พี่สาวผู้เสียหาย รับตัวผู้เสียหายกลับไปที่ช่องเม็ก วันที่ 14 เมษายน 2552 ผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยให้การว่า นายจักรพงษ์และนางสาวดาวพาผู้เสียหายไปขายให้จำเลยในราคา 9,000 บาท จำเลยบังคับให้ผู้เสียหายขายบริการทางเพศแก่ลูกค้าของร้านลาบเป็ดหนองคาย พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายจักรพงษ์และนางสาวดาว แต่ผู้เสียหาย นาง ล. และนาย จ. บิดาผู้เสียหาย เป็นบุคคลสัญชาติลาว และมีถิ่นอาศัยอยู่นอกราชอาณาจักร พนักงานอัยการจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลสืบพยานไว้ก่อนฟ้องคดี บุคคลทั้งสามเบิกความต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 ตามสำเนาคำให้การพยานผู้ร้องชั้นสืบพยานก่อนฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายจักรพงษ์และนางสาวดาวในความผิดฐานค้ามนุษย์คนละ 6 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2136/2552 หมายเลขแดงที่ 1515/2553 จำเลยถูกจับกุมวันที่ 19 เมษายน 2553 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้าพนักงานอัยการโดยตนเองหรือโดยได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหายหรือจากพนักงานสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด และผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล…” กรณีผู้เสียหาย นาง ล. และนาย จ. ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติลาว เข้าเบิกความในการสืบพยานก่อนฟ้องคดีที่นายจักรพงษ์และนางสาวดาวเป็นผู้ต้องหา ซึ่งเป็นคดีเดียวกับคดีของจำเลย แต่พนักงานอัยการแยกฟ้องนายจักรพงษ์และนางสาวดาวก่อนเพราะยังจับตัวจำเลยไม่ได้ การสืบพยานก่อนฟ้องคดีเป็นกรณีจำเป็นที่จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลไว้ก่อน เพราะหากรอจนมีการฟ้องคดีอาจเป็นการยากแก่การนำพยานบุคคลนั้นมาสืบในภายหน้าเพื่อพิสูจน์ความผิด ซึ่งบางกรณีอาจยังไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด กฎหมายจึงบัญญัติเพียงว่า ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิดและผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ก็ให้นำตัวมาศาลด้วย ดังนั้น หากไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดก็สามารถสืบพยานก่อนฟ้องได้โดยไม่ต้องนำตัวมาศาล เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบหนักแน่นมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกโดยลดโทษให้หนึ่งในสามนับว่าเป็นคุณแก่จำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นว่าจะต้องแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share