คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8508/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 จะระบุไว้ว่า เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโอนไปยังจำเลยที่ 1 ทันที และโจทก์จะดำเนินการจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรายการสมุดคู่มือจดทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเสียก่อน โดยเช็คที่ออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ถูกธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน 4 ฉบับ โจทก์จึงได้ใช้สิทธิของตนเพื่อการบังคับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 4ซึ่งระบุว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใด งวดหนึ่ง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที โดยหักส่วนที่ชำระมาแล้วออกก่อนคงบังคับเอาเฉพาะส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินที่ค้างชำระ พร้อมทั้งยินยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อได้ทันที นอกจากนี้แล้วข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาก็ปรากฏว่าหลังจากผิดนัดชำระหนี้แล้ว จำเลยทั้งสองได้ยินยอมให้โจทก์นำรถยนต์ดังกล่าวกลับคืนไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์ด้วย ฉะนั้นเมื่อโจทก์ได้รับรถยนต์ซึ่งยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของตนกลับคืนมาแล้วโจทก์จึงสามารถนำรถยนต์นั้นออกขายทอดตลาดและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อได้โดยไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 แต่อย่างใด โจทก์ได้นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อไป ซึ่งการขายและการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าวได้กระทำภายหลังที่จำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญาแล้ว การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นผลให้หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระงับไปดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างเมื่อโจทก์ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน โจทก์จึงบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ฐานผิดสัญญา ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยทั้งสองยอมชำระเงินจำนวน 4,081,983.46 บาท ตกลงชำระเป็นงวดรายเดือนรวม 28 เดือน เดือนละ145,785.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของยอดหนี้ที่ค้างชำระในแต่ละงวด จำเลยทั้งสองจะสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าจำนวน 28 ฉบับ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีในส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี พร้อมทั้งยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ทันที เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนให้กรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อโอนไปยังจำเลยที่ 1 ทันทีศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2540 โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองชำระค่าต่อภาษีรถยนต์ประจำปีและค่าประกันภัยรถยนต์ให้แก่โจทก์เท่านั้น ส่วนเงินค่างวดตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ชำระให้แก่โจทก์ โดยเช็คของธนาคารมหานครจำกัด สาขายานนาวาที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งหมด ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2540

จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 2 ครั้งคือเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ชำระจำนวน 171,298 บาท และวันที่25 พฤศจิกายน 2540 ชำระจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความแต่โจทก์ก็ยอมรับเงินโดยไม่อิดเอื้อน ต่อมาโจทก์ถือว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและกลับเข้าไปครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ โจทก์ไม่ใช้สิทธิบังคับคดีเอากับหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยหักเงินที่จำเลยทั้งสองชำระแล้ว กลับนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปขายให้บุคคลภายนอกและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้ซื้อไปแล้ว เป็นการยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เงินเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะโจทก์มีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ครบถ้วน ปรากฏว่าการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1เป็นการพ้นวิสัย ถือว่าโจทก์มีเจตนาเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นอันระงับไป แม้โจทก์ขายรถยนต์ที่เช่าซื้อได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้ที่โจทก์เรียกร้อง แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุให้จำเลยทั้งสองต้องชดใช้เงินให้โจทก์อีก ทั้งจำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีรถยนต์ประจำปีและค่าขึ้นศาลที่ศาลไม่สั่งคืนให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีหนี้สินที่จะชำระให้แก่โจทก์ขอให้ถอนการบังคับคดี

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคา 2,829,000 บาท เมื่อนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวไปหักจากยอดหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองยังค้างชำระหนี้อีกประมาณ 1,300,000 บาท การที่โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นการบรรเทาความเสียหายของโจทก์และเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์หาได้กระทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ต่อมาผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 4ระบุว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ทันที ทั้งยังปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์นำรถยนต์กลับคืนไปโดยไม่คัดค้าน กรณีเป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชอบ และมีสิทธิบังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ที่เช่าซื้อได้เงินมาถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความบางส่วนแล้ว เมื่อยังไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับคดีในส่วนที่ยังขาดต่อไปได้ ไม่มีเหตุที่จะถอนการบังคับคดีให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า การที่โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อเป็นการกระทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ซึ่งในข้อนี้จำเลยทั้งสองอ้างว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 4 หากจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้แก่โจทก์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ก็ให้สิทธิโจทก์เพียงกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ทันทีเท่านั้น โดยมิได้มีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เห็นว่าแม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 จะระบุไว้ว่า เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโอนไปยังจำเลยที่ 1 ทันที และโจทก์จะดำเนินการจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรายการสมุดคู่มือจดทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเสียก่อนแล้ว โดยเช็คที่ออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน 4 ฉบับ โจทก์จึงได้ใช้สิทธิของตนเพื่อการบังคับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 4 ซึ่งระบุว่า หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดทั้งหมด และยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที โดยหักส่วนที่ชำระมาแล้วออกก่อน คงบังคับเอาเฉพาะส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระพร้อมทั้งยินยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อได้ทันที นอกจากนี้แล้วข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาก็ปรากฏว่าหลังจากผิดนัดชำระหนี้แล้วจำเลยทั้งสองได้ยินยอมให้โจทก์นำรถยนต์ดังกล่าวกลับคืนไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์ด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับรถยนต์ซึ่งยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของตนกลับคืนมาแล้ว โจทก์จึงสามารถนำรถยนต์นั้นออกขายทอดตลาดและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อได้โดยไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 แต่อย่างใด

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปมีว่า หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระงับไปหรือไม่ เห็นว่า ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นย่อมทำให้การเรียกร้อง ซึ่งคู่กรณีมีอยู่ต่อกันตามมูลกรณีเดิมระงับสิ้นไป แล้วก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่กรณีจะพึงเรียกร้องเอาจากกันได้ ในข้อนี้จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า การที่โจทก์ขายทอดตลาดรถยนต์ที่เช่าซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อไปย่อมเป็นการกระทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะหากจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะเรียกร้องให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวจึงเป็นการพ้นวิสัย ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกร้องต่อโจทก์ได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนตามสัญญา หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระงับไปแล้ว โจทก์ไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้นั้นเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ซึ่งมีข้อความระบุว่าเมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วน ให้กรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อโอนไปยังจำเลยที่ 1 ทันทีนั้น ย่อมมีความหมายว่า จำเลยทั้งสองมิได้ผิดนัดและชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้หลายงวดและไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน โจทก์จึงได้นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อไปซึ่งการขายและการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าวได้กระทำภายหลังที่จำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญาแล้ว การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นผลให้หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระงับไปดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างเมื่อโจทก์ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน โจทก์จึงบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share