แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ได้โอนหนี้รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. ไปแล้ว สิทธิเรียกร้องที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ในฐานะผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงโอนไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. ตาม พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ผู้เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไป และปรากฏว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. มิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น มาตรา 30 วรรคหก ศาลฎีกาให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,412,881,904.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 957,756,735.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำเลยทั้งสี่ไม่คัดค้าน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,412,881,904.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) และประกาศธนาคารโจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 957,756,735.13 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนตามสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ประการแรกว่า หนี้คดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่หลังจากยื่นฟ้องคดีนี้แล้วโจทก์ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2544 บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ได้โอนหนี้รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 แล้ว ตามหนังสือเรื่องแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารท้ายอุทธรณ์ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด โอนหนี้รายนี้ไปก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 วรรคหก แต่จำเลยทั้งสี่เพิ่งทราบถึงการโอนหนี้ดังกล่าวหลังจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นได้ ชอบที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เพราะบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้จดรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเรียกบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ จำเลยทั้งสี่และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมาพร้อมกันเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงว่า ” (1) หนี้ตามคำฟ้องคดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ได้โอนให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 แล้วอย่างใดหรือไม่ และ (2) หากปรากฏว่ามีการโอนสินทรัพย์ตามข้อ (1) แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยแล้ว มีการโอนตั้งแต่เมื่อใด และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยประสงค์จะให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือจะร้องขอเป็นอย่างอื่น ตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมาตรา 30 วรรคหก หรือไม่ และจะเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนหรือไม่” ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้นัดพร้อมเพื่อสอบข้อเท็จจริง โดยออกหมายนัดและแนบสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศส่งให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด จำเลยทั้งสี่ และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย โดยระบุในหมายนัดด้วยว่าหากไม่มาศาลตามนัดถือว่าไม่ติดใจแถลงข้อเท็จจริงใด ๆ ตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และยอมให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยไปฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสี่ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยทราบนัดโดยชอบแล้ว เมื่อถึงวันนัดพร้อมเพื่อสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไม่มาศาล ดังนั้น จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่า หนี้คดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่โจทก์ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ได้โอนสินทรัพย์รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้ว สิทธิเรียกร้องที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ในฐานะผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงโอนไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไป และตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง และวรรคหก นั้น เมื่อได้มีการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้วก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะได้มีคำพิพากษา และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะต้องสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพิ่งปรากฏในชั้นพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวคู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้จำเลยทั้งสี่ยกปัญหาขึ้นกล่าวในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสี่อีกต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ.