แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุห้ามใช้เวลาหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ไปทำงานส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาต การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างจำเลยสองคน คนหนึ่งซื้อยาสระผมและครีมนวดผมอีกคนหนึ่งซื้อลิปสติกการซื้อขายสิ่งของจำนวนเล็กน้อยโดยปกติใช้เวลาเพียงครู่เดียวทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดการกระทำของโจทก์จึงมิใช่การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือมาก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นแก่ลูกจ้างจำเลยย่อมเป็นเหตุให้ทั้งโจทก์และลูกจ้างต้องหยุดการทำงานเพื่อเจรจาและส่งมอบสินค้าที่โจทก์นำมาขาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 22,000 บาท ค่าชดเชยจำนวน 22,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและเบี้ยขยันจำนวน 600 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จงใจให้จำเลยได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหาย โจทก์ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องและสุจริต หัวหน้างานของโจทก์ได้ตักเตือนแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงบอกเลิกจ้างโจทก์การกระทำของโจทก์เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ได้ขายสินค้าของบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างของจำเลยสองคน คนละหนึ่งครั้ง แต่การกระทำของโจทก์มิได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน สินค้าของจำเลยและสินค้าของบริษัทอื่นที่โจทก์ขายไม่มีความเกี่ยวข้องกันและไม่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกันไม่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายการกระทำของโจทก์เป็นเพียงการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ไม่ร้ายแรง พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 22,000 บาท และค่าชดเชยจำนวน22,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยชำระเบี้ยขยันจำนวน 600 บาท แก่โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อสองว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น เห็นว่าระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ส่วนที่ 9 ระเบียบวินัยข้อ 1(6) ระบุว่า ห้ามใช้เวลาหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ไปทำงานส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาตการที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างของจำเลยสองคน คนหนึ่งซื้อยาสระผมและครีมนวดผมส่วนอีกคนหนึ่งซื้อลิปสติก การซื้อขายสิ่งของที่มีจำนวนเล็กน้อยดังกล่าวโดยปกติก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือมาก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อสามว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เห็นว่า การที่โจทก์ขายสินค้าของบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างของจำเลยดังกล่าวข้างต้นย่อมเป็นเหตุให้ทั้งโจทก์และลูกจ้างของจำเลยดังกล่าวต้องหยุดการทำงานเพื่อเจรจาและส่งมอบสินค้าที่โจทก์นำมาขาย การกระทำของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนในลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 22,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง