แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้ามาเช่าปลูกร้านค้าเพื่อขายของในที่ดินของโจทก์ ดังนี้การที่จำเลยเข้าปลูกร้านค้าเพื่อขายของในที่ดินของโจทก์จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกคดีโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะรับไว้พิจารณา เหตุที่โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนเต็นท์ออกไปจากที่ดินของโจทก์เนื่องมาจากโจทก์ขอเก็บเงินค่าที่ดินตามเจตนาของโจทก์ที่ประสงค์ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเช่าปลูกร้านค้าขายของ แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าเช่าที่ดินแก่โจทก์จึงเป็นกรณีที่มีข้อพิพาทกันในทางแพ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ให้เช่าที่ดินเป็นรายวันและในวันเกิดเหตุโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนเต็นท์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วกลับเข้ามาใหม่อีกพฤติการณ์จึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำต่อเนื่องมาจากวันเกิดเหตุ ย่อมไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2540 ถึงวันที่13 เมษายน 2540 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปกางเต็นท์วางแผงขายเสื้อผ้าบนที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ได้ห้ามปรามจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่เชื่อฟัง กลับดำเนินการขายสินค้าต่อไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ทำให้โจทก์เดือดร้อนได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,362, 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีของโจทก์มีมูลความผิดทางอาญาฐานบุกรุกหรือไม่โจทก์เบิกความเป็นพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า ในช่วงเทศกาลเช่นวันปีใหม่และวันสงกรานต์โจทก์จะให้บุคคลภายนอกเข้ามาเช่าปลูกร้านค้า เพื่อขายของในที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับริมทะเลในวันที่ 12 เมษายน 2540 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์เวลา 9 นาฬิกา จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันเข้ามากางเต็นท์เพื่อขายสินค้าประเภทผ้าในบริเวณที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก โจทก์บอกจำเลยทั้งสองว่าห้ามเข้ามาตั้งแผงขายของในที่ดินของโจทก์แต่จำเลยทั้งสองไม่ยินยอม โจทก์จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ วันรุ่งขึ้นโจทก์ออกไปตรวจดูจุดเดิมที่จำเลยทั้งสองขายสินค้ายังคงพบจำเลยทั้งสองวางแผงขายสินค้าในที่ดินของโจทก์อยู่โจทก์อยู่ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจอีกครั้ง เห็นว่าตามสำเนารายงานประจำวันเอกสารหมาย จ.2 เจ้าพนักงานตำรวจบันทึกไว้ตามที่โจทก์เป็นผู้แจ้งว่า ในวันที่ 12 เมษายน 2540 (อันเป็นวันแจ้งความ)จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกเต็นท์ขายเสื้อผ้าในที่ดินติดชายทะเลของโจทก์ โจทก์ได้ไปขอเก็บเงินค่าที่ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ไม่ให้โจทก์ โจทก์บอกให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนเต็นท์ออกไปจากที่ดิน ซึ่งข้อความดังกล่าวมีข้อเท็จจริงสอดคล้องกับพฤติการณ์ที่โจทก์เบิกความไว้ว่าตามปกติในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์โจทก์จะให้บุคคลภายนอกเข้ามาเช่าปลูกร้านค้าเพื่อขายของในที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับริมทะเลแสดงว่าในช่วงเทศกาลต่าง ๆโจทก์ยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้าไปปลูกร้านค้าเพื่อขายของในที่ดินของโจทก์ด้านริมทะเลอยู่แล้วการที่บุคคลภายนอกรวมทั้งจำเลยทั้งสองเข้าปลูกร้านค้าเพื่อขายของในที่ดินของโจทก์จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ส่วนเหตุที่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเต็นท์ออกไปจากที่ดินของโจทก์เนื่องมาจากโจทก์ขอเก็บเงินค่าที่ดินตามเจตนาของโจทก์ที่ประสงค์ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเช่าปลูกร้านค้าขายของ แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมจ่ายค่าเช่าที่ดินแก่โจทก์ อันเป็นกรณีที่มีข้อพิพาทกันในทางแพ่งอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าการเช่าที่ดินดังกล่าวเป็นการเช่ารายวันโจทก์ห้ามปรามจำเลยทั้งสองในวันที่ 12 เมษายน 2540 แล้วต่อมาวันที่ 13 เมษายน 2540 จำเลยทั้งสองกลับมาวางแผงขายของในที่ดินโจทก์ใหม่อีก จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานบุกรุกนั้นเห็นว่าในทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าให้เช่าที่ดินเป็นรายวันทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อเกิดเหตุในวันที่12 เมษายน 2540 แล้ว จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินของโจทก์และกลับเข้ามาใหม่อีกในวันที่ 13 เมษายน 2540 คงได้ข้อเท็จจริงแต่เพียงว่าในวันที่ 12 เมษายน 2540 โจทก์ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเต็นท์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามจนวันรุ่งขึ้นโจทก์ก็ทราบว่าจำเลยทั้งสองยังคงวางแผงขายของในที่ดินของโจทก์พฤติการณ์จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อเนื่องมาจากวันก่อนไม่มีความผิดฐานบุกรุกเช่นเดียวกันคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณา คำพิพากษาฎีกาที่1833/2523 ที่โจทก์อ้างมานั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้จึงนำมาเทียบเคียงกันไม่ได้
พิพากษายืน